อยากทราบไหมว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน
ธรรมดาชีวิตมีอยู่ 2 ธรรมดา คือธรรมดาเกิดและธรรมดาตาย ธรรมดาชีวิตทั้งหลายย่อมมีตายและมีเกิด เมื่อมีเกิดแล้วก็ต้องมีธรรมดาตาย และเมื่อตายแล้วก็มีธรรมดาเกิด ชีวิตเกิดมาด้วยอำนาจของกรรมกระทำความดีไว้มากในอดีตและปัจจุบัน ก็ตายดีไปสู่สุคติ กระทำความชั่วไว้มากทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ตายเลวไปสู่ทุคติ
พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนในเรื่องตายไว้มาก เฉพาะอย่างยิ่งในพระไตรปิฏกฉบับที่ 3 อันมีนามเรียกว่า “พระอภิธรรมปิฏก” เป็นธรรมะอันยิ่งใหญ่ เป็นสัจธรรมอันละเอียดสุขุมมาก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง พระพุทธองค์ตรัสสอนเราว่ามนุษย์ตายแล้วไปสู่ 5 ทาง ทั้งนี้สุดแต่ความประพฤติของมนุษย์แต่ละคน คือ
1. ไปสู่ยมโลก (อบายภูมิสมบัติ)
2. กลับมาสู่มนุษยโลก (มนุษยภูมิสมบัติ)
3. ไปสู่เทวโลก (เทวภูมิสมบัติ)
4. ไปสู่พรหมโลก (พรหมภูมิสมบัติ)
5. ไปสู่อุตตรโลก (นิพพานสมบัติ)
ผู้เขียนขอกล่าวอย่างย่อ พอเข้าใจอย่างง่ายๆ ดังนี้
1. ไปสู่ยมโลก
มนุษย์ที่มีความประพฤติเลว เป็นมนุษย์ไม่รักษาศีล ชอบประพฤติทุศีล กระทำทุจริตคดโกงธนาคาร ชอบการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ย่อมไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน, สัตว์เปรต, สัตว์นรก และสัตว์อสุรกาย ที่นิยมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อบายภูมิ เมื่อใช้กรรมในอบายภูมิสิ้นสุดลงแล้ว ก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก
ตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวเช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อเพราะว่าผู้เขียนมีความเคารพในพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงกล่าวจากการตรัสรู้ในเรื่อง “ทศพลญาณ” มี 10 หัวข้อ ในข้อที่ 3 มีว่า “สัพพัตถคามีนีปฏิปทาญาณ” คือมีญาณหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิต่างๆ ของสรรพสัตว์ อันเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า หรือวิสัยของพระอรหันต์ มนุษยวิสัยอย่างเราซึ่งยังมีกิเลส ไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้
ผู้เขียนมีความเห็นว่า วิญญาณาสัตว์เดรัจฉาน, สัตว์เปรต, สัตว์นรก และสัตว์อสุรกาย ที่จะกลับมาเกิดเป็นคนนั้น คงจะมาเกิดเป็นคนในจำพวก “คนชั้นเลว” กล่าวคือ เป็นคนจำพวกที่เป็นใบ้ เป็นบ้า หูหนวก ตาบอด มือด้วน เท้าด้วน พิกลพิการ ยากจนค่นแค้น ต้องขอทานเขากิน รูปร่างไม่สวยงาม ไม่น่าดู เป็นโรคเรื้อนพุพองทั้งตัว หรือบางคนมีรูปร่างคล้ายสัตว์ มีจิตใจอย่างสัตว์ เพราะว่าเพิ่งจะพ้นจากความเป็นสัตว์มาใหม่ๆ จึงชอบยื้อแย่งเขากินเยี่ยงสัตว์ หรือชอบยื้อแย่งเขาทางกามารมณ์เยี่ยงสัตว์ มีนิสัยชอบเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีจิตใจชอบคดโกง วิญญาณและเจตสิกได้นำเอาคุณสมบัติในอบายภูมิติดมาใช้ในขณะเกิดเป็นคน วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ถ้าวิญญาณมีลักษณะเลว นามรูปที่เกิดจากวิญญาณเลวก็มีรูปและนามไปในทางเลว
2. มาสู่มนุษยโลก
มนุษย์ที่มีความประพฤติดี เป็นมนุษย์ที่รักษาศีล มีความประพฤติเรียบร้อยไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ย่อมจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก
นายเอียน สตีเวนสัน นักค้นคว้าการระลึกชาติของประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกได้กล่าวที่ห้องฝึกสมาธิของแผนกธรรมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มหาวิทยาลัยสงฆ์) ในพระบรมราชูปถัมภ์แห่งวัดมหาธาตุ ได้เล่าเรื่องการตายแล้วเกิดของบุคคลต่างๆ ที่เขาได้ทำการสำรวจและค้นคว้าการระลึกชาติของมนุษย์จากหลายประเทศ โดยเขายืนยันว่าได้พบสถิติที่น่าพิจารณา ที่มนุษย์ตายแล้วได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที ส่วนมากก็ระลึกชาติได้
มนุษย์ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันทีโดยไม่ผ่านไปยังสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เปรต, สัตวอสุรกาย, สัตว์นรก, ทวยเทพในเทวโลก หรือทวยเทพพรหมโลกนั้น คงจะเนื่องจากภวังค์จิต หรือวิถีจิตของมนุษย์ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในทันที มีวิถีจิตหรือภวังค์จิตที่ติดต่อกันในเวลากระชั้นชิดมาก ความจำยังสดใสอยู่ จึงสามารถระลึกชาติได้ ถ้าวิญญาณไปเกิดยังภพต่างๆ เป็นเวลานาน แล้วจึงมีโอกาสกลับมาเป็นมนุษย์อีก ไม่สามารถระลึกชาติได้ เพราะภวังค์จิตหรือวิถีจิตไม่ติดต่อกันอย่างใกล้ชิด จึงไม่สามารถจะระลึกชาติได้ แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากการเกิดได้ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า “วิมุตติรส” วิญญาณที่เป็นวิมุตติรสคงเป็น “วิญญาณทิพย์” เช่นนี้ เราก็สามารถปฏิบัติตนให้มีอำนาจเหนือวิญญาณของเราได้ในชาติปัจจุบัน เราก็จะได้ “อภิญญา” คือ การหยั่งรู้การเกิดในชาติต่างๆ แต่หนหลังของเราได้ใน “ทศพลญาณ” ของพระพุทธองค์ (ข้อ 8) หรือ “อภิญญา” ของพระพุทธองค์ (ข้อ 4) ข้อความตรงกัน คือ “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” คือ “ญาณหยั่งรู้ชาติต่างๆ แต่หนหลัง”
ตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “มนุษย์ประพฤติเรียบร้อย ไม่ประพฤติเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้แล้ว จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก” การที่ทรงกล่าวไว้เช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อ 100 % ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เล็กน้อยในการระลึกชาติได้บ้าง วิญญาณของมนุษย์พวกรักษาศีล ซึ่งจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในรูปใหม่และนามใหม่นี้ อาจจะต้องเกิดเป็นมนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นกลาง” กล่าวคือ เป็นมนุษย์ที่มีฐานะปานกลางไม่ยากจน แต่คงไม่ร่ำรวยมาก พอกินพอใช้ ไม่มีความทุกข์ทรมานมากนัก รูปร่างเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่หูหนวก, ไม่ตาบอด, เป็นใบ้ เป็นบ้าหรือพิกลพิการแต่อย่างใด มีลักษณะเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ มีจิตใจเต็มไปด้วยมนุษยธรรม ไม่ยื้อแย่งอาหาร หรือยื้อแย่งทางกามารมณ์อย่างสัตว์ เพราะมีวิญญาณที่มีเจตสิกที่มีคุณภาพสูงมาแต่เดิม จึงมีจิตที่ดีงามมีศีลธรรม มีความคิด ความจำได้หมายรู้ เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ไม่มีนิสัยที่ชอบประพฤติเบียดเบียนใครว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน
3. ไปสู่เทวโลก
มนุษย์ที่มีความประพฤติดี เป็นมนุษย์ที่รักษาศีล มีความประพฤติเรียบร้อยไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีความประพฤติเพียงนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใจ เขายังชอบประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เช่น การจัดสรรประโยชน์ต่างๆ ให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เป็นต้น มนุษย์ใจบุญประเภทนี้ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไปจะได้ไปเกิดในเทวโลกเป็นทวยเทพพวกหนึ่งที่ยังบริโภคกาม เมื่อหมดบุญในสวรรค์ชั้นเทวโลกแล้วจะต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อความทุกข์ต่อไปอีก
ตามที่พระสมณโคดมทรงกล่าวเช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อ 100 % เพราะว่าเคยปฏิบัติเข้าสู่สภาวะสัมผัสจิตละเอียดในบางครั้ง และเห็นว่าวิญญาณของทวยเทพจากสวรรค์ชั้นเทวโลกที่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น อาจจะได้เกิดเป็นมนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นดี” กล่าวคือ เป็นมนุษย์ที่มีฐานะสูง มีความร่ำรวย มีร่างกายแข็งแรง เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ มีมันสมองดี มีความอดทนดี มีปัญญาเฉียบแหลม รูปร่างสวยงาม เพราะว่าเพิ่งจะพ้นจากความเป็นเทวดามาใหม่ๆ มีจิตใจสวยงามเต็มเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม ไม่มีความคิดที่จะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีความเมตตา กรุณา เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ถ้ามนุษย์ชั้นดีเหล่านี้ได้พบธรรมะของพระพุทธองค์ และเข้าใจซาบซึ้งในธรรมะนั้น แล้วลงมือปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างพระพุทธองค์แล้ว มนุษย์ชั้นดีก็จะได้รับรสดี คือ “วิมุตติรส” ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามแบบอย่างพระพุทธองค์
4. ไปสู่พรหมโลก
มนุษย์ที่นิยมปฏิบัติสมถกรรมฐาน (สมถะภาวนา) คือ การทำจิตเข้าสู่สมาธิโดยภาวนาฌาน ตามแบบโยคีหรือฤาษี เช่น อุททกดาบสรามบุตร อาฬารดาบส กาลามโคตร ผู้ที่เคยเป็นพระอาจารย์ของพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นพวกที่กำหนดสิ่งภายนอกกายเป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิ โดยอาศัยกรรมฐาน 40 อย่าง ในอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์การทำจิตเข้าสู่สมาธิ กรรมฐาน 40 อย่างนั้น คือว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน
กสิณ 10 อย่าง
อสุภ 10 อย่าง
อนุสสติ 10 อย่าง
พรหมวิหาร 4 อย่าง
อรูปธรรม 4 อย่าง
อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 อย่าง
จตุธาตุววัตถานะ 1 อย่าง
รวม 40 อย่าง
เป็นมนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิโดยสมถะภาวนา จนสามารถเข้าฌานสมาบัติได้ เมื่อมนุษย์พวกนี้กายแตกละจากโลกนี้ไปในขณะที่มีอารมณ์อยู่ในฌานใด วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกก็จะลอยไปเกิดยังพรหมโลก ในชั้นต่างๆ กันของพรหมโลก จะอยู่พรหมโลกชั้นใดขึ้นอยู่กับชั้นต่างๆ ของฌาน ซึ่งพรหมโลกมีอยู่ 20 ชั้น เป็นอรูปพรหมมี 4 ชั้น เป็นรูปพรหม 16 ชั้น เป็นทวยเทพอีกพวกหนึ่งที่ไม่บริโภคกาม เมื่อหมดบุญในสวรรค์ชั้นพรหมแล้วก็จะต้องมาเกิดยังโลกมนุษย์เพื่อรับความทุกข์ต่อไปอีก
ตามที่พระตถาคตทรงกล่าวไว้เช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะผู้เขียนมีความเคารพเลื่อมใสในการตรัสรู้ “ทศพลญาณ” ของพระพุทธองค์ ซึ่งมนุษย์ปุถุชนผู้มีกิเลสไม่สามารถหยั่งรู้ได้ “ทศพลญาณ” คือ
1. มีญาณหยั่งรู้เหตุที่ควรเป็น และเหตุที่ไม่ควรเป็น (ฐานาฐานะญาณ)
2. มีญาณหยั่งรู้ผลแห่งกรรมของสัตว์ (วิปากญาณ)
3. มีญาณหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิต่างๆ ของสัตว์ (สัพพัตถคามีนีปฏิปทาญาณ)
4. มีญาณหยั่งรู้คุณสมบัติของธาตุต่างๆ (นานาธาตุญาณ)
5. มีญาณหยั่งรู้นิสสัยเลวของสัตว์ (นานาวิมุติญาณ)
6. มีญาณหยั่งรู้ในอินทรีย์ห้าของสัตว์ (อินทริยปโรปริยัตตญาณ)
7. มีญาณหยั่งรู้อาการของญาณ (ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ)
8. มีญาณหยั่งรู้ชาติต่างๆ แต่หนหลัง (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
9. มีญาณหยั่งรู้การตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย (จุตูปปาตญาณ)
10. มีญาณหยั่งรู้วิธีทำให้ลิ้นอาสวะ (อาสวัคขยญาณ)
มนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิโดยสมถะภาวนา ขณะตายจิตอยู่ในญาณใด วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกจะลอยไปเกิดยังพรหมโลกชั้นใด พระพุทธองค์ทรงหยั่งรู้ด้วย “ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ” (ทศพลญาณข้อ 7)
ผู้เขียนมีความเห็นว่า “วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกของทวยเทพจากสวรรค์ชั้นพรหมโลกที่จะต้องกลับมาจุติยังโลกมนุษย์นั้นคงจะได้เกิดเป็นมนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นดีมาก” กล่าวคือ เป็นมนุษย์จำพวกที่มีฐานะสูงมาก มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เช่น เกิดในตระกูลกษัตริย์ เกิดในตระกูลเศรษฐี และมหาเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองอย่างมหาศาล เกิดมาได้เป็นหัวหน้าประเทศ มีโอกาสได้เป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือได้เป็นหัวหน้าคณะศาสนา ได้รับความสุขในการดำรงชีวิตสูงกว่ามนุษย์จำพวกอื่น เกิดมามีมันสมองดีมาก มีความจำสูงมาก มีจิตใจสูง มีความเมตตากรุณาแก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เป็นมนุษย์ที่มองเห็นความทุกข์ยากของบุคคลอื่นมากกว่าความทุกข์ยากของตนเอง ถ้ามนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นดีมาก” เหล่านี้ได้พบธรรมะของพระพุทธองค์ ก็คงจะซาบซึ้งในพระธรรมนั้นและเมื่อลงมือปฏิบัติธรรมของพุทธองค์แล้วมนุษย์ชั้นดีมากก็จะได้พบรสแห่งความสันติอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ จะได้พบ “วิมุตติรส” ของพระพุทธองค์อย่างเดียวกัน และในที่สุดก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบันของเขานั้น
รสของน้ำทะเลมีรสเดียวคือ “รสเค็ม” และรสพระธรรมของพระพุทธองค์ก็มีรสเดียวคือ “วิมุตติรส” น้ำในลำธาร, ในลำแม่น้ำ, ในลำคลอง, และน้ำฝน มีรสไม่เหมือนกัน เมื่อไหลลงสู่ทะเลรวมกันแล้วก็จะมีเพียงรสเดียว คือ “รสเค็ม” ฉันใดที่มนุษย์เข้าใจซาบซึ้งในพระธรรมของพระพุทธองค์ และได้ลงมือปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ชาติใด ภาษาใด วรรณะใด และวัยใด ย่อมจะได้พบรสพระธรรมอย่างเดียวกัน คือ “วิมุตติรส” ฉันใดก็ฉันนั้น
ข้อเปรียบเทียบนี้ เป็นพระธรรมเทศนาของพระตถาคต มีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฏกซึ่งเป็นสูตรหนึ่งที่ว่าด้วยความน่าอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย
5. ไปสู่อุตตรโลก
มนุษย์ที่นิยมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ การนำจิตเข้าสู่ความเห็นแจ้ง (ญาณทัศนะ) ตามแบบพระพุทธองค์ เป็นพวกกำหนดสิ่งภายในร่างกายเป็นอารมณ์ในการนำจิตเข้าสู่สมาธิโดยอาศัยโพธิปักขิยธรรม 7 หมวด ในหมวดใดหมวดหนึ่งเป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิ) โพธิปักขิยธรรม 7 หมวด คือ
1. สติปัฏฐานสี่
2. สัมมัปปธานสี่
3. อิทธิบาทสี่
4. อินทรีย์ห้า
5. พละห้า
6. โพชฌงค์เจ็ด
7. มรรคแปด
เป็นมนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิและปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา โดยที่กำหนดหมวดใดหมวดหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม 7 หมวดนั้น เป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิจนสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ และได้บรรลุมรรคผลเข้าครองชีวิตพระอรหันต์ อริยบุคคลจำพวกพระอรหันต์นั้น เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นอะไรอีก ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีชาติหน้า สิ้นภพ, สิ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอีกต่อไปชั่วนิรันดร ซึ่งชาวพุทธนิยมเรียกว่า ดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ตามแบบอย่างพระพุทธองค์ ไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อรับความทุกข์อีก
ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้ชาวพุทธไปสู่นิพพานนั้น ผู้เขียนมีความเชื่อเพราะมีความเห็นว่า อริยบุคคลที่บรรลุมรรคผล เข้าครองชีวิตพระอรหันต์นั้น เป็นมนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นดีเลิศ” เป็นมนุษย์ที่หมดมลทินจากกิเลสทั้งปวงเป็นมนุษย์ที่มีปัญญาอันล้ำเลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวงเป็นมนุษย์ที่มิได้สร้างกรรมอันใดไว้ จึงไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อสนองกรรม ตามกฎแห่งกรรมของพระตถาคต
หมายเหตุ :-
ภาวนา แปลว่า การทำให้เกิดขึ้นในใจ
สมถะ แปลว่า ความสงบจิต (ฌาน)
วิปัสสนา แปลว่า ความเห็นแจ้ง (ญาณทัศนะ)
“สมถะภาวนา” แปลว่า “การทำให้ความสงบจิตเกิดขึ้นในใจ”
“วิปัสสนาภาวนา” แปลว่า “การทำให้ความเห็นแจ้งเกิดขึ้นในใจ”
Saturday, May 17, 2008
ตายแล้วเราจะไปไหน
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment