Friday, May 30, 2008

ความลับบนเตียงของ 12 ราศี



คุณคงได้ยินกันมาบ้าง กับ "เรื่องบนเตียง" ของคนที่ตกเป็นข่าว...หรือของคนที่บอกต่อๆ กันมา ที่บางครั้งก็เข้ากันได้ดี บางครั้งก็ยากจะปรับตัวเข้าหากัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากราศี นอกจากวันเวลาเกิดที่กำหนดให้แต่ละคนมี ราศี
เป็นของตนเอง จะมีผลส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเรามี บุคลิก ตลอดจน ลักษณะนิสัย ที่แตกต่างกันแล้ว ความแตกต่างของลักษณะนิสัยและแนวความคิดนั้นเอง ยังทำให้มีผลต่อรสนิยมและความชอบส่วนตัวที่มีต่อ เรื่องบนเตียง อีกด้วย เพียงแต่เราเข้าใจถึงสภาพ
พื้นฐานความคิดความเชื่อ ความเป็นตัวตนของอีกฝ่าย เราอาจเข้าใจมากขึ้นก็ได้ ว่าทำไมเขา(หรือเธอ) ตอบสนองต่อความสัมพันธ์ทางเพศที่เรามอบให้เช่นนั้น และเราควรปรับตัว (หรือหว่านล้อมเขา) อย่างไร

เรื่องบนเตียงกับราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)
ในเรื่องของเซ็กซ์แล้ว ชาวเมษจะเปรียบเสมือนเสือที่ออกล่าเหยื่อเป็นอาหาร คือจะเสาะแสวงหาเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกใจ สำหรับความสัมพันธ์ทางเพศแล้ว ชาวเมษจะเป็นคนเปิดเผยและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้คนรักพอใจ เขา(หรือเธอ)ยกให้คุณจนหมดใจ ขอเพียงแค่คุณมีความจริงใจและรักอย่างแท้จริง เพราะถ้าคุณไม่สามารถทำให้เขาเชื่อใจได้ เขาจะระแวงและคอยกันท่า หรือหึงหวงคุณเสมอ

อะไรที่ชาวราศีเมษต้องการ : ชาวเมษไม่ต้องการของขวัญแบบที่ดูหวานๆ เช่นพวกดอกไม้ ของขวัญรูปหัวใจต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขา(หรือเธอ)ให้ความสำคัญเท่าใดนัก สิ่งที่เขาต้องการคือเวลาและกิจกรรมที่ทำร่วมกันมากกว่า ต้องการความเข้าใจและการกระทำที่ดีทั้งกายและใจ กิจกรรมที่น่าตื่นเต้นโลดโผน และการแสดงออกถึงความรัก การสัมผัสและถ่ายทอดความรัก เช่น การหอมแก้ม การกอด การจูบบ้าง คือสิ่งที่ชาวเมษต้องการมากกว่าสิ่งใดๆ

เรื่องบนเตียงกับราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)
ชาวพฤษภเป็นอีกหนึ่งราศีที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจ มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างง่ายดาย เขา(หรือเธอ)จะใช้สิ่งเหล่านี้แหละเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง สำหรับเขาการแสดงออกในความรักจะแสดงออกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เป็นคนที่สร้างอารมณ์และความรู้สึกที่ดีในการอยู่ร่วมกัน เป็นคนที่มีความโรแมนติก เพราะเขารู้สึกว่าเซ็กซ์มาจากความรู้สึกข้างในที่เต็มไปด้วยความรัก ซึ่งเป็นสิ่งสวยงามในชีวิตเขา

อะไรที่ชาวราศีพฤษภต้องการ : ชาวพฤษภต้องการใครสักคนที่หนักแน่นและมั่นคงที่จะทำให้ชีวิตของเขามีความสุขได้ ต้องการคนที่ให้ทั้งความรัก การดูแล และสิ่งของที่มีความหมายดีๆ ที่จะติดตรึงอยู่ในใจของชาววัวตลอดไป การดูแลให้ความอบอุ่นและความเชื่อมั่น คือวิธีที่เหมาะที่สุดที่จะปฏิบัติให้กับชาวพฤษภและก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ ชาวพฤษภเป็นคนที่พึ่งพาอาศัยได้และเป็นคนที่คอยดูแลเอาใจใส่สม่ำเสมอ หากใครต้องการเป็นคนที่โชคดีที่จะใช้ชีวิตในโลกอันสวยงามร่วมกับเขาได้ จะต้องใจเย็นและใช้เวลาในการค่อยๆบ่มเพาะความรัก ความรู้สึกในการพิชิตใจชาวพฤษภ

เรื่องบนเตียงกับราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 21 มิถุนายน
ชาวเมถุนไม่ค่อยมีอารมณ์ในเรื่องเซ็กซ์มากมายนัก แต่จะมีความรู้สึกในเรื่องนี้เมื่ออยู่ในบรรยากาศดีๆ และเหมาะสมเท่านั้น เซ็กซ์เปรียบเสมือนกีฬาอย่างหนึ่งของชาวเมถุน เขาจะค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอในแบบที่ถูกใจ ชาวเมถุนให้ความสำคัญกับการสัมผัสและเสียง และต้องการหาสิ่งที่ดีที่สมบูรณ์แบบให้กับชีวิตรักของเขา

อะไรที่ชาวราศีเมถุนต้องการ : ใครสักคนที่สามารถตามเขาทัน เข้าใจเขารู้ใจและพร้อมจะผจญภัยกับเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและเป็นเพื่อนที่ดีของเขาได้ และสำหรับคนรักนั้นก็เช่นกัน แต่อาจจะไม่ต้องฉลาดเฉลียวมากมายนัก แต่ขอให้เป็นคนที่สามารถทำให้เขาสบายใจได้ในยามที่เขาทุกข์ใจ

เรื่องบนเตียงกับราศีกรกฎ (22 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)
สำหรับชาวกรกฎ เรื่องเซ็กซ์เปรียบเสมือนกิจกรรมในยามพักผ่อน เขาเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดีในเรื่องนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความพอใจในแต่ละครั้ง นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ยอมรับอารมณ์ของคู่รักได้เสมอ ในยามที่มีอารมณ์ ความต้องการที่ไม่ตรงกัน ชาวราศีกรกฎถือเป็นคู่รักที่ดีและไม่เคยบกพร่องในเรื่องนี้แต่อย่างใด

อะไรที่ชาวราศีกรกฎต้องการ : ชาวกรกฎต้องการคนที่ใจเย็น สบายๆ ทำอะไรไม่รีบร้อน และมีความมั่นคงทางอารมณ์ ซึ่งจะทำให้คบกันได้นาน เขาต้องการคนที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความคิดเห็นได้ เพราะเขาคิดว่าความเข้าใจและความสม่ำเสมอ คือหัวใจสำคัญที่สุดในการคบหากัน

เรื่องบนเตียงกับราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)
ราศีสิงห์นั้นตรงกับธาตุไฟ จึงมีอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนแรง และมีพละกำลังเหลือเฟือ เขาจึงจะแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึกต่อคนรักเสมอๆ แต่การถ่ายทอดความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ ของชาวสิงห์นั้น จะเป็นแบบสวยงาม ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่จะเร่าร้อนมากมายเหมือนความรักของหนุ่มสาวทั่วไป เพราะชาวสิงห์จะมีมาด มีฟอร์มของความเป็นผู้นำอยู่ ดังนั้นเวลาจะทำอะไรจึงมีมาดนี้อยู่ด้วย เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ชาวสิงห์เป็นคนที่มั่นคงในรัก ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และจริงใจต่อคุณเสมอ

อะไรที่ชาวราศีสิงห์ต้องการ : สิ่งที่ชาวสิงห์ต้องการก็คือ การได้รับการยอมรับนับถือ คำชื่นชม ซึ่งจะทำให้เขามั่นใจในตัวเองมากและเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารักอย่างดีด้วยความเต็มใจ ชาวสิงห์ต้องการทำทุกอย่างเพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด ดังนั้นคนรอบตัวของเขาจะต้องเข้าใจในความมุ่งมั่นของเขาและจงอย่ากวนใจเขาในยามที่เขากำลังตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ และสำหรับคนรักของชาวสิงห์ จงจำไว้ว่าเขาจะต้องเป็นที่หนึ่งในใจคุณเสมอ และอย่านอกใจหรือทรยศเป็นอันขาด

เรื่องบนเตียงกับราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน)
เซ็กซ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับชาวกันย์ ชาวกันย์จะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อให้เซ็กซ์เป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นที่ประทับใจของตัวเองและคนรักมากที่สุด แต่ชาวราศีกันย์ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์หรือความรู้สึกในเรื่องนี้บ่อยนัก หรือบางครั้งก็อาจจะรู้สึกอาย ดังนั้นชาวกันย์จึงต้องการการกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดขึ้น และหลังจากนั้น ชาวกันย์ก็จะสานต่อได้อย่างดี ชาวราศีกันย์เป็นคนไม่เจ้าชู้ และมั่นใจได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลหูไกลตา

อะไรที่ชาวราศีกันย์ต้องการ : ด้วยความที่ชาวกันย์เป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่สุขภาพร่างกายตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องการคนที่จะมาเป็นเพื่อนในการออกกำลังกาย ดูแลเรื่องสุขภาพ อาหารและของใช้อื่นๆ ร่วมกัน ชาวกันย์ต้องการคนรักที่มั่นคง เชื่อใจได้และให้เวลาในการเป็นส่วนตัวบ้าง และคนคนนั้นต้องเป็นคนใจเย็น อารมณ์ดี และสามารถปรึกษาพูดคุยกันได้เสมอ

เรื่องบนเตียงกับราศีตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม)
เซ็กซ์เป็นเพียงแค่อารมณ์หนึ่ง ชาวตุลย์หากถูกใจใครเป็นพิเศษ คนๆ นั้นก็จะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับชาวตุลย์ได้ไม่ยากนัก ชาวตุลย์เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย และหากใครที่กล้าพอที่จะเข้ามาคบ ก็พร้อมจะพิจารณาเสมอ และยิ่งถ้าเป็นคนที่พร้อมจะให้ทุกอย่างได้ ก็พร้อมที่จะลองคบและมีความสัมพันธ์กันแบบลึกซึ้ง แต่ระวัง เพราะคุณอาจจะเป็นของเล่นของเขาได้ และเมื่อเขาเบื่อหรือเจอคนใหม่ที่น่าสนใจกว่า เขาก็อาจจะโยนของเก่าอย่างคุณทิ้งก็ได้

อะไรที่ชาวราศีตุลย์ต้องการ : คนที่พร้อมจะหยิบยื่นสิ่งต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือการกระทำ และคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่มั่นคงและไว้ใจได้ แต่ชาวราศีตุลย์กลับไม่ต้องการให้ใครมาผูกมัด หรือตั้งกฎเกณฑ์มากๆ และอีกอย่างที่เขาต้องการคือ คนที่สามารถพูดคุยและเป็นที่ปรึกษาได้ หากใครทำได้อย่างนี้ ชาวตุลย์ก็พร้อมที่จะญาติดีด้วย และมอบความรู้สึกดีๆ ให้ รวมๆ แล้วดูเหมือนชาวตุลย์เอาแต่จะได้ แต่แท้จริงแล้วแค่เป็นคนที่คิดพิจารณามาก เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองเท่านั้นเอง ถ้าคบไปแล้วชาวตุลย์ก็ถือว่าเป็นคนที่ใช้ได้ น่าคบหาคนหนึ่งทีเดียว

เรื่องบนเตียงกับราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน)
ชาวพิจิกถือเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กซ์มากทีเดียว เพราะชาวพิจิกจะเป็นคนที่เร่าร้อน มีอารมณ์ทางเพศสูง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วชาวพิจิกมักจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นเรื่องนี้ก่อนเสมอ ชาวพิจิกถึงแม้จะดูเป็นคนมีเสน่ห์และเจ้าชู้ แต่ภายในใจของเขา เป็นคนที่รักใครรักจริง เทิดทูนและให้เกียรติคนรักของเขา

อะไรที่ชาวราศีพิจิกต้องการ : ชาวพิจิกไม่พิสมัยความท้าทายหรืออุปสรรคที่ดูจะเสี่ยงและไม่แน่นอนว่าจะดีหรือไม่ ชอบอะไรที่ดูแน่นอนและความสมบูรณ์แบบมากกว่า ต้องการและแสวงหาคนรู้ใจที่มีความหนักแน่นและเข้าใจในตัวเขาได้ดีทุกเรื่องและพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องการคนรักที่มีความอบอุ่น อ่อนโยนและมีความโรแมนติก ซึ่งจะทำให้ความรักของเขาหวานชื่นอยู่เสมอ

เรื่องบนเตียงกับราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม)
ชาวธนูเป็นคนธาตุไฟ มีความเร่าร้อนอยู่ในตัว ถ้าไม่พูดถึงเรื่องความรักที่ลึกซึ้งแล้ว ชาวธนูก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กซ์อยู่มากพอดู เขาไม่อายในเรื่องนี้ ถ้าไม่จริงจังและมีเงื่อนไขกับมันมากนัก เขาพร้อมเสมอ ชอบการพบปะสังสรรค์กับผู้คน เขาเป็นคนที่บริหารเสน่ห์ได้ดี และสำหรับคนรักของเขาจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กซ์ด้วยเพื่อที่ว่าทั้งเขาและคุณจะไปด้วยกันได้ดี

อะไรที่ชาวราศีธนูต้องการ : เพื่อนรู้ใจที่พร้อมจะไปกับเขาได้ทุกสถานการณ์ และไม่ทำให้เขาหนักใจหรือมีเรื่องเดือดร้อนถึงตัวเขา สำหรับคนรักของชาวธนูจะต้องเข้าใจและยอมรับในนิสัยที่รักอิสระเสรีของเขา ต้องไม่เป็นคนคิดมากหรืออ่อนไหวกับอะไรง่ายๆ ชอบคนที่ซื่อสัตย์ เปิดเผย หากคุณเป็นอย่างที่เขาต้องการหรือมีนิสัยที่คล้ายกัน คุณก็จะเป็นทั้งเพื่อนและคนรักของเขาด้วยในเวลาเดียวกัน

เรื่องบนเตียงกับราศีมังกร (22 ธันวาคม - 19 มกราคม)
ภายใต้ความเยือกเย็นสุขุมที่ปกคลุมอยู่ภายนอก น้อยคนที่จะได้รู้ถึงความรู้สึกภายในที่เร่าร้อนซึ่งรอคอยผู้ที่มาสัมผัสและเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริง ชาวมังกรเป็นคนธาตุดิน เป็นคนไม่หวือหวา โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง อีกทั้งเขามองว่าเป็นเรื่องที่ต้องสำรวม จะแสดงออกต่อเมื่อถึงเวลาเท่านั้น ถ้ายอมเผยความรู้สึกในเรื่องนี้กับใครแล้ว แสดงว่าเขามั่นใจว่าคนคนนั้นคือคนที่เขาจะใช้ชีวิตรักไปด้วยอีกนาน

อะไรที่ชาวราศีมังกรต้องการ : ชอบการแข่งขัน ความท้าทายและอุปสรรคที่ต้องฟันฝ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ชาวมังกรจึงเหมาะกับคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความสง่าสูงศักดิ์ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับชาวมังกรได้เสมอ ต้องมีความเก่งพอๆกัน และสิ่งที่ชาวมังกรต้องการอีกสิ่งคือ คนรักที่เข้าใจในธรรมชาติของเขาผู้ซึ่งไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ต้องปรามเขาได้ และไม่เป็นคนอ่อนไหวจนเกินไป

เรื่องบนเตียงกับราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)
ด้วยความเป็นคนธาตุลมที่ต้องการความเข้าใจ ความสุขใจ เรื่องบนเตียงจะเกิดขึ้นเพื่อต้องการความสุขทางใจมากกว่าความสุขทางกาย แคร์ความรู้สึกของคนรักมาก แม้ชาวกุมภ์เป็นคนที่มีเพื่อนมาก แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องส่วนตัวเขาจะให้เวลากับมันอย่างดี เพราะกลัวว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับคนรัก ชาวกุมภ์กับเรื่องเซ็กซ์ไม่มีอะไรหวือหวา จะเป็นไปตามธรรมชาติ

อะไรที่ชาวราศีกุมภ์ต้องการ : ชาวกุมภ์เป็นคนที่มีความคิดและมีมุมมองกว้างขวาง มักเชื่อมั่นในความคิดและสิ่งที่ตัดสินใจลงไป ดังนั้นคนรักจึงควรเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของเขาได้ดีที่สุด ต้องการคนที่สามารถพูดคุย ให้คำปรึกษากับเขาได้และพร้อมที่จะเป็นกำลังใจเพื่อให้เขาก้าวไปสู่สิ่งที่ดียิ่งขึ้นไป นอกจากนี้เขาเป็นคนที่ไม่ดูแลตัวเองเอาเสียเลย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องดูแลเอาใจใส่เขาให้มากๆ และคุณต้องเป็นคนรักครอบครัวด้วย นั่นคือสิ่งเขาต้องการ เพราะจะช่วยประคับประคองให้ชีวิตคู่ยั่งยืน

เรื่องบนเตียงกับราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)
เซ็กซ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ ซึ่งไม่แน่นอน บางครั้งอาจมีมากบางครั้งอาจมีน้อย ซึ่งถ้าหากคุณควบคุมอารมณ์ของคนราศีนี้ได้ ก็สามารถคุมเรื่องเซ็กซ์ของเขาได้เช่นกัน เขาเป็นคู่รักที่ดีเสมอในเรื่องนี้ ไม่เคยทำให้คุณต้องผิดหวัง มีแต่จะยิ่งหลงใหลในตัวเขามากขึ้น

อะไรที่ชาวราศีมีนต้องการ : คนที่สามารถมาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตได้ ถ้าเขาหมดหวัง อีกคนจะช่วยเป็นกำลังใจให้ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการจากคนที่เขารัก ทำให้เขาอุ่นใจได้เสมอแม้เมื่อเจอปัญหา คุณจะต้องไม่ดูถูกความฝันของเขา แต่จะต้องคอยดึงเขาออกจากฝันนั้นบ้าง เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นหลงอยู่ในความฝันจนลืมนึกถึงความเป็นจริง

Sunday, May 25, 2008

กุ๊กกิ๊กช่วงไหนเร้าใจที่สุด


06.00 น. ตอนเช้าๆ

เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีอารมณ์หงุดหงิด แต่เหมาะกับผู้ที่ต้องการปลุกเซ็กซ์ให้กระปรี้กระเปร่า
เพราะร่างกายของเราได้ทำการผลิตเซ็กซ์ฮอร์โมนไว้ให้ล่วงหน้า ถึง 2 ชั่วโมง หากคุณยังไม่ตื่นเต็มที่ก็ไม่เป็นไร การมีเซ็กซ์ขณะที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ไม่เลว ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ต้องรีบร้อน การสะลึมสะลืออย่างนี้ก็ให้ความสุนทรีย์ไปอีก แบบ
"อรุณสวัสดิ์ ตื่นหรือยังเอ่ย" มองเขาตื่นหรือยังนะ รู้มั้ยว่าช่วงนี้แหละเหมาะที่ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosteron) ของเขา ผลิตมากขึ้นถึง 20% เชียวนะ รู้อย่างนี้แล้วจะ ช้าอยู่ไย
ข้อแนะนำ อย่าปลุกเร้าเขาอย่างเร่งร้อน เพราะร่างกายเขาจะยังแข็งชาอยู่ ต้องอุ่นเครื่องช้าๆ ให้ค่อยๆร้อนทีละนิด แล้วเครื่องยนต์จะกระหึ่ม พร้อมจะขับเคลื่อนไปกับคุณทุกที่

08.00 น. ในวันหยุดสุดสัปดาห์

เป็นวันที่คุณและเขาได้นอนจนเต็มอิ่ม ชดเชยกับวันทำงานที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เวลาสายๆอย่างนี้แหละที่คุณและเขาสามารถเติมความหวานบนเตียงนอนแทนอาหารเช้าประ เภทกาแฟหรือข้าวต้มร้อน
เพราะการมีเซ็กซ์ในช่วงเวลานี้จะช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตไหลเวียนดียิ่งกว่าดื่มกาแฟคาปุชิโนเสียอีก
ข้อแนะนำ ให้เวลากับรสรักด้วยการลูบไล้ นวดเคล้น และลองรสชาติแปลกใหม่ดูบ้าง เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้สรรหารสรักแปลกใหม่มาเติมเต็มให้ชีวิตรักซู่ซ่าเหมือนเซ็กซ์ใน ช่วงแรกรัก

13.00 น. หลังอาหาร

คุณเพิ่งทานอาหารกลางวันไปไม่นาน ช่วงนี้ร่างกายของคุณกำลังคร่ำเคร่งกับการย่อยอาหารจึงไม่เหมาะที่จะมีเซ็กซ์ แค่กอดกันก็สุขแล้ว

15.00 น. ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ

โรแมนติกไม่แพ้ช่วงเช้าหรอกนะจะบอกให้ เพราะร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟีน (Endorphine) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความสุขออกมามากเป็นพิเศษ ตอนนี้แหละที่ร่างกาย ของคุณต้องการกิจกรรมล่ะ ดังนั้น จึงเหมาะอย่างยิ่งที่คุณจะทำกิจกรรมด้วยการทดลองเซ็กซ์ใหม่ๆบ้าง เพื่อกระเตื้องชีวิตคู่ให้มีชีวิตชีวามากขึ้น

17.00 น. แดดล่มลมตก

จากการค้นคว้าวิจัยได้ผลว่า เวลานี้ร่างกายของผู้ชายมีการผลิตสเปิร์มออกมามากที่สุด จึงเป็นช่วงที่ผู้ชายมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ว่าได้ ฉะนั้นหากคุณอยากมีลูก ให้สะกิดเขา ในเวลานี้แหละ อย่ารอช้า

21.00 น. ช่วงค่ำๆ

เวลานี้ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข จึงเหมาะกับอารมณ์สุนทรีย์ทางเพศเป็นอย่างยิ่ง
คุณควรเริ่มด้วยบรรยากาศโรแมนติกกับกลิ่นหอมๆ ฟัง ดนตรีไพเราะ และลูบไล้ยั่วยุอารมณ์เพศให้พุ่งทะยาน เป็นช่วงที่ดีที่สุดในการที่จะทำรักให้สุขสดชื่น ข้อแนะนำ อย่าตระหนี่ถี่เหนียวนัก ให้คุณงัดชุดนอนสวยเซ็กซี่มาสวมใส่และดื่มไวน์เล็กน้อยก่อนเพื่อเร้าอารมณ์ซึ่งกันและกัน

วิธีเอาชนะใจ ... ผู้หญิง


สำหรับชายหนุ่มทั้งหลายที่อยากจะเอาใจแฟนสาวของคุณ แต่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว ผู้หญิงต้องการอะไร ไฉนถึงเอาใจยากเย็น... คุณผู้ชายทั้งหลายที่มัวแต่เฝ้าสงสัย(แต่ไม่เคยลงมือทำอะไร)ว่า ...เออหนอ... ผู้หญิง...ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เข้าใจยากเย็นเสียนี่กระไร ลองมาทำความเข้าใจกับบทความที่ว่านี้ดูดีมั้ย บางทีสิ่งที่เป็นปริศนามาตลอด อาจพบคำเฉลยอยู่ในนี้
ก่อนอื่น...คุณต้องรู้จักและเข้าใจผู้หญิงอย่างถ่องถ้วนเสียก่อน คุณถึงจะได้หัวใจจากเเจ้าหล่อนไปทั้งดวง แล้วคุณเคยรู้มั้ยว่า...จริงๆแล้วผู้หญิงต้องการอะไร? ร้อยทั้งร้อย ขึ้นชื่อว่า ผู้หญิง ทุกคนต่างก็ต้องการการถูกทะนุถนอม ต้องการให้ชายหนุ่มให้เกียรติ เห็นคุณค่า และปกป้องให้เธอรู้สึกปลอดภัย อยู่ตลอดเวลา...
เธอต้องการ ผู้ชายที่เธอสามารถไว้ใจได้ เพราะความไว้ใจ จะสามารถให้เธอแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น และนั่นหมายถึง เธอเปิดรับชายผู้นั้นไว้ในหัวใจเรียบร้อย จะบอกให้ว่า ผู้หญิงน่ะเกลียดนักแล ผู้ชายที่ชอบโชว์ออฟ (ทั้งที่ไม่น่าจะมีอะไรมาโชว์ใครเขาได้)
เธอต้องการฮีโร่ ที่อ่อนไหวเล็กๆ อ่อนโยนน้อยๆ (ไม่ใช่เข้มแข็งซะขนาดเหล็กกล้ายังดูเหลว) ฮีโร่ที่บางครั้งก็แสดงความอ่อนแอ และไม่กลัวที่จะแสดงความรู้สึกนั้นออกมาให้เห็นบ้างบางคราว เพราะฮีโร่ก็คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า...มนุษย์เช่นกัน
ฮีโร่ของหญิงสาวจะรู้ว่าเขาควรใช้เสน่ห์ หรือส่วนใดของเขามามัดใจหญิงสาวได้บ้าง (บางครั้ง ก็อาจทำไปโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ เพราะอาจเป็นโดยเนื้อแท้) เขาจะมั่นใจว่าเขา'มีดี' ผู้ชายทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้ทั้งนั้น ถ้าหญิงสาวต้องการให้ชายหนุ่มของเธอเป็น...
ผู้หญิงคนไหนก็อยากมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับชายหนุ่มแสนดีทั้งนั้น ไม่ใช่แค่เดทกันคืนวันเสาร์ หรือว่านัดดูหนังกันประเดี๋ยวประด๋าว (หรือ กิ๊ก อะไรทำนองนี้) เพราะฉะนั้น นี่คือคัมภีร์ ฉบับล่า ที่จะบอกคุณว่า ชายหนุ่มแสนดีที่ว่าควรจะเป็นเช่นใด...
1. ชายหนุ่มแสนดีจะต้อง.....มั่นใจว่าตัวมีดีพอที่จะดูแลทะนุถนอม ผู้หญิงได้อย่างดี

2. ชายหนุ่มแสนดีจะต้อง....รับฟังอย่างซื่อสัตย์ เขาจะไม่ขัดจังหวะเวลาที่ผู้หญิงพูดเด็ดขาด (พูดจบแล้วค่อยว่ากัน)

3. ชายหนุ่มแสนดีจะต้อง....ให้ความสนใจและเคารพเธอ

4. ชายหนุ่มแสนดีจะต้อง....คอยเปิดประตูให้(ไม่ใช่ผลักประตูเข้าไปก่อน จนเด้งกลับมาตีหน้าแฟนที่เดินตามหลัง) อย่าลืมคอยเลื่อนเก้าอี้เวลาเธอจะนั่งด้วย

5. แค่สี่ข้อที่กล่าวมา ปฏิบัติให้ได้ทุกข้อก่อน อย่างไรก็ดี ถ้าชายหนุ่มชอบหญิงสาวอย่างจริงจังแล้ว เขาก็จะแสดงออกมาจากทุกการกระทำนั่นแหละ

ว่ากันถึงทฤษฎีกันไปแล้ว ขั้นต่อไปเป็นการปฏิบัติจริง... แล้วคุณจะทำอย่างไรให้แฟนสาวรู้สึกว่าเธอเป็นที่รัก?.... กลเม็ดเล็กน้อยที่จะได้ใจผู้หญิงไปเลย 10 ดวง ออกมาจากปากผู้หญิงโดยตรงเชียว...

1. การกระทำเล็กๆน้อยๆนี่คุณแสดงออกมานี่แหละ ผู้หญิงช่างจดช่างจำดีนักแหละ

2. บอกเธอว่าคุณจะรักเธอเสมอไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง

3. เอาดอกไม้ไปวางบนหมอนตอนเช้า

4. หรือว่า อาหารเช้าบนเตียงเป็นไง

5. ทำให้เจ้าหล่อนรู้ว่า จะไม่มีภยันตรายใดๆ มาทำร้ายเธอได้

6. เมื่ออยู่กับเธอ อย่าเบนความสนใจให้เรื่องอื่น

7. รักษาความสัมพันธ์ต่อกันให้ซู่ซ่าอยู่ตลอดเวลา ด้วยการพยายามทำให้คุณเธอประหลาดใจ(ขอแบบประทับใจ)อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

8. เป็นแรงผลักดันและสนับสนุนเจ้าหล่อน ทำให้หล่อนรู้สึกว่าถูกรัก และเมื่อรู้สึกว่ารักแล้ว เธอจะมีความมั่นจและไม่กลัวที่จะเสี่ยงในหน้าที่งานที่เธอทำ แม้มันจะน่ากลัวก็ตาม

9. รับฟังความเห็นของเธอ โต้แย้งหรือแสดงความเห็นอย่างยินดี

10. ตื่นเต้นและภาคภูมิใจในตัวเธอและอาชีพการงานของเธอ

11. ทำตัวเป็นเพื่อนสนิท เพราะเพื่อนสนิทจะรักและยอมรับเธอได้ในแบบที่เธอเป้น ไม่ว่าจะอ้วนขึ้นสัก10กิโลก็ตาม

12. อ่อนโยน เจ้าความคิด และทำให้เธอหัวเราะได้

13. เอาความโรแมนติกเข้าว่า

14. บอกเธอว่า "คุณรักเธอ"

15. วิธีที่คุณปฏิบัติต่อเธอจะแสดงให้เธอเห็นเองว่าคุณรักเธอมากแค่ไหน

16. แสดงออกถึงความรักในหลาย ๆ รูปแบบ

17. ใส่ใจดูแล เป็นห่วงเป็นใย ซื่อสัตย์ และให้ความเคารพ

18. เธอชอบของขวัญที่คุณให้ทุกชิ้นนั่นแหละ แต่จะชอบมาก ถ้าของขวัญชิ้นนั้นใส่ความรู้สึกลงไปด้วย

19. เป็นแรงกำลังใจให้เธอก้าวเดินสู่จุดหมาย ที่ว่ามาทั้งปวง หวังเพียงว่าผู้ชายอย่างคุณๆจะเข้าใจผู้หญิงอย่างเราๆบ้างๆ อาจไม่ต้องทำทั้งหมดนั่น ขอแค่เพียงข้อเดียวแต่เป็นข้อเดียวที่คุณทำออกมาด้วยหัวใจ หญิงสาวของคุณก็ถอนตัวไม่ขึ้นแล้วแหละค่ะ...

และเมื่อหัวใจของเธอมาอยู่ในกำมือของคุณแล้ว อย่าลืมแบ่งหัวใจของคุณไปไว้ในกำมือของเธอบ้าง ใส่ใจซึ่งกันและกันอย่างเสมอ ให้ประโยคที่ว่าไว้ว่า "รักของเราไม่เก่าเลย" ถูกหยิบยกเอามาใช้เป็นปุ๋ยพันธ์ดี หล่อเลี้ยงหัวใจ และชีวิต ให้ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความหวัง...ต่อไป

คำถามเรื่องเซ็กส์ที่ผู้หญิงไม่กล้าถามใคร


1. คนอื่นๆเขามีเซ็กส์กันบ่อยกว่าที่ฉันมีอยู่หรือเปล่า ?

เชื่อได้ว่า ทุกคนมักตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเอง เพราะคิดว่ากิจกรรมเซ็กส์ที่ทำนี่มันน้อยหรือมากไปไหม ก็จากความอยากรู้ ว่าตัวเองสูงหรือต่ำกว่าระดับมาตรฐานนั่นแหละ แต่เรื่องสำคัญก็คือ เราจะเอา"มาตรฐาน" จากตรงไหน กุญแจสำคัญที่จะต้องถามก็คือ ไม่เกี่ยวว่าทำบ่อยแค่ไหน แต่มีความสุขทุกครั้งหรือเปล่า เพราะเรื่องแบบนี้ปริมาณไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพหรอกนะคะ ควรตรวจสอบว่า สัมพันธภาพของคุณกับคู่รักยังดีอยู่หรือเปล่า

2. ทำไมตอนกลางคืน หลังถึงจุดสุดยอดแล้วฉันจะต้องร้องไห้ออกมาด้วย ?

การถึงจุดสุดยอดทำให้เกิดปฎิกิริยาเคมีกับอารมณ์และร่างกายได้หลายอย่าง บางคนส่งเสียงครวญคราง บางคนก็กรีดร้องออกมา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมันเป็นสภาวะแห่งการรู้สึกปลดปล่อยทั้งร่างกายและอารมณ์อย่างแท้จริง เป็นวิธีระบายความเครียดนั่นเองค่ะ และยังหมายถึงว่าเซ็กส์ของคุณไม่น่าเบื่ออีกด้วย

3. คนอื่นๆเขาใช้เวลานานเท่าไหร่ในแต่ละครั้ง ?

การหลั่งของผู้ชายที่อยู่ในระหว่าง 5 - 15 นาทีของเวลาการมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องปกติ การใช้เวลาจะอยู่กับการเล้าโลมเป็นส่วนใหญ่ คุณต้องบอกเขาเองค่ะว่าต้องการให้ใช้เวลาในการเล้าโลมนี้สักเท่าไร หากเขาหลั่งเร็วภายใน 5 นาทีของการมีเพศสัมพันธ์ ก็ควรแนะนำหรือทำให้เขาเครียดเรื่องเซ็กส์น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ ลองใช้ท่าการเคลื่อนไหวอื่นๆที่ไม่ทำให้เกิดความกดดันกับบริเวณส่วนปลายของอวัยวะเพศของเขามากเกินไป แต่ผู้ชายที่อายุน้อยและไม่มีประสบการณ์เรื่องเพศมากนัก ก็มีแนวโน้มการหลั่งเร็วกว่าปกติ เนื่องจากตื่นเต้นสูงกว่า จนมีคนบอกว่า สำหรับเรื่องเซ็กส์ของผู้ชายแล้ว ก็เหมือนกับไวน์ ที่ต้องเลือกอายุมากๆเข้าไว้จะนุ่มนวลและดีกว่า

4. ขนาดค ลิตอริสของฉันมีผลกับความสามารถไปถึงจุดสุดยอดหรือไม่ ?

ไม่ว่าจะเป็นขนาดของอวัยวะเพศผู้ชายหรือคลิตอริสของผู้หญิง ก็ไม่มีผลทำให้จิตใจกับความรู้สึกเรื่องเซ็กส์มีการเปลี่ยนแปลงแต่อยางใด ในเรื่องความตื่นเต้นของจุดสุดยอด คลิตอริสของคุณก็ยังทำงานเป็นปกติเมื่อถูกปลุกเร้า และอวัยวะเพศชายก็มีความรู้สึกแบบนั้น แม้การกระตุ้นที่คลิตอริส จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอด แต่สภาวะการถึงจุดสุดยอดอย่างสมบูรณ์ของผู้หญิงนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่ออวัยวะ 3 ส่วน ได้แก่ มดลูก ช่องคลอดและกล้ามเนื้อบริเวณเชิงกราน มีการบีบรัดตัวเป็นจังหวะเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่ควรกังวลเกี่ยวกับขนาดของคลิตอริสของคุณให้มากเกินไป

5. ในขณะที่มีเซ็กส์อยู่กับคู่ของเรา มันผิดปกติไหมถ้าเราจะนึกถึงผู้ชายอีกคนที่เราไม่ได้กำลงนอนอยู่ด้วย ?

เรื่องนี้ก็ตัดสินลงไปไม่ได้ทีเดียวว่ามันถูกหรือผิดปกติ แต่ถ้าทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะมันอยู่ในใจเราเอง ที่สำคัญอย่าหลุดปากออกมาก็แล้วกัน จริงๆแล้ว บางคนบอกว่าแบบนี้ทำให้เราตื่นเต้นดีมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะการจินตนาการแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าคุณกำลังเบื่อคู่รักหรือป่วยทางจิต แต่มันอาจแปลว่า คุณกำลังรู้สึกจำเจกับกิจวัตรบนเตียงแบบเดิมๆ

6. อัณฑะของผู้ชายเป็นจุดที่ควรทำอย่างไรในการเล้าโลม

จุดนี้อาจเรียกว่าเป็นการสำรวจที่พื้นที่ก่อนปฎิบัติจริงก็ได้นะ เพราะแพทย์ระบุว่า มีเส้นประสาทจำนวนนับร้อยๆเส้นที่จุดนี้ ช่วยให้ความรู้สึกของเขาตื่นตัวได้ดีขึ้น เพียงแต่ต้องทำอย่างนุ่มนวลเท่านั้น มันอาจจะช่วยผู้หญิงได้มาก หากจะบอกว่าจุดนี้ของผู้ชายก็เหมือนกับอวัยวะที่เรียกว่าแคมนอกหรือแคมในของผู้หญิง ให้สัมผัสที่จุดนี้เบาๆและนุ่มนวล เป็นการเริ่มเล้าโลมเขาก่อน และลองดูเองว่าปฎิกิริยาสนองตอบเป็นอย่างไร แต่โดยมากผู้ชายจะชอบ แต่ต้องไม่ลืมว่าต้องเล่นกับมันอย่างทะนุถนอมและอ่อนโยนมากๆ ห้ามบีบ กัดหรือทำรุนแรงเป็นอันขาด

7. การแว๊กซ์ขนที่อวัยวะเพศหญิง จะช่วยเพิ่มความพอใจให้เขาไหม

เรื่องนี้มีความเห็นที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนและแต่ละคู่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทุกคนบอกตรงกันก็คือ หากทำแล้วเพิ่มความพอใจให้กับคู่ของตนก็พร้อมที่จะทำ และมีเรื่องสำคัญอีกอย่างคือ ผู้ชายส่วนมากมักอยากทำออรัลเซ็กส์ให้คนรักมากขึ้นหลังผู้หญิงทำการแว๊กซ์มาแล้ว แต่มีผู้ชายอีกพวกที่บอกว่ามันดูแปลกๆไป หากจะทำเพื่อเซอร์ไพรส์เขา ก็จงอย่าเอาออกจนหมดในครั้งแรก

8. ของสามีฉันจะเล็กกว่าผู้ชายคนอื่นๆหรือเปล่า ?

ยากมากที่จะบอกขนาดที่เหมาะสมว่าควรเป็นเท่าไหร่ จากการวิจัยเรื่องขนาดและพฤติกรรมนี้ของมหาวิทยาลัยเวสเทอร์น ออนตาริโอพบว่า ขนาดความยาวเฉลี่ยของผู้ชายเอเชียเมื่อขยายตัวจะอยู่ที่ 10 - 14 ซม. และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ซม. ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กกว่าชาวอาฟริกัน และจากงานวิจัยเดียวกันก็ระบุว่าผู้หญิงเอเชียส่วนใหญ่ ก็มีช่องคลอดที่เล็กกว่าจะเหมาะสมกับขนาดที่ระบุนี้ เมื่อมีการเล้าโลมเกิดขึ้น ช่องคลอดของผู้หญิงก็จะบวมตัวด้วยเลือดที่มาคั่งเมื่อถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวเรื่องเพศ ทำให้ขนาดที่บอกไว้นั้นลดลงอีกประมาณ 30%

9. ทำไมบางครั้งถึงมีเสียงลมระหว่างมีเซ็กส์

เสียงลมนั้นเกิดจากการอัดของอากาศเมื่อเวลาที่มีการดันของอวัยวะเข้าสู่ช่องคลอดในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์และทำให้เกิดเสียงไม่พึงประสงค์ขึ้น ผู้หญิงจะรู้สึกอายโดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นครั้งแรก แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เสียงนั้นเป็นเครื่องหมายแสดงว่า ทั้งคู่กำลังมีความสุขกับเซ็กส์ที่เกิดขึ้น เพราะแพทย์บอกว่า "สิ่งนี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้หญิงมีน้ำหล่อลื่นออกมามากเพียงพอเท่านั้น"

10. ทำไมเมื่อถูกเล้าโลมแล้วส่วนนั้นยังคงแห้งอยู่

ปัญหานี้มักเกิดขึ้นในผู้หญิงที่วัยใกล้หมดรอบเดือน เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดน้อยลง ทำให้ร่างกายผลิตน้ำหล่อลื่นออกมาน้อยกว่าที่เคยเป็น ซึ่งแก้ได้ง่ายๆจากการให้ฮอร์โมนทนดแทนโดยแพทย์ หรือใช้เจลหล่อลื่นที่มีส่วนผสมหลักเป็นน้ำ ก็จะแก้ปัญหาได้ดี แต่หากเกิดกับผู้หญิงอายุน้อยๆ อาจเป็นเพราะได้รับการเล้าโลมไม่เพียงพอ ความเครียดหรือความวิตกกังวลในขณะที่มีเซ็กส์ ทำให้ร่างกายต่อต้าน วิธีแก้ไขก็คือร่วมมือกัน บอกคู่รักให้เข้าใจและเล้าโลมนานกว่านี้ โดยปกติ ระยะเวลาการเล้าโลมที่เหมาะสมควรอยู่ประมาณระหว่าง 15 นาทีขึ้นไป ผู้หญิงจึงจะมีอารมณ์ร่วม แต่หากไม่ดีขึ้นอาจจะต้องไปพบแพทย์เพราะอาจเป็นเรื่องของการติดเชื้อราบางชนิดทำให้ช่องคลอดแห้งกว่าปกติ หรือการบริโภคยาบางอย่างตามแพทย์สั่งอยู่และทำให้ช่องคลอดแห้งเกินไปจากผลข้างเคียงของยา

Tuesday, May 20, 2008

เรื่องอย่างว่าคุณรู้ชัวร์หรือมั่วนิ่ม


เลือกตอบได้ 2แบบ คือ (ชัวร์/มั่วนิ่ม)
1. มีอะไรกันครั้งเดียวไม่มีทางท้องแน่นอน

2.หลั่งข้างนอกก็ท้องได้รู้ไว้เถอะ

3.ไม่ท้องแน่นอนถ้าถึงจุดสุดยอดไม่พร้อมกัน

4.มีอะไรกันตอนมีประจำเดือนไม่มีทางท้องหรอก

5.เซ็กซ์หมายถึงความรักความผูกพัน

6.การมีเซ็กซ์เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้ใหญ่

7.ใครๆ ก็มีเซ็กซ์กัน ถ้าฉันมีก็ไม่เห็นแปลก

8.ถึงไม่ได้เป็นพวกรักเพศเดียวกันก็เป็นเอดส์ได้

9.แค่ทำออรัลเซ็กซ์ไม่มีทางเป็นเอดส์ได้หรอก

10.ยาเม็ดคุมกำเนิดป้องกันการท้องและติดโรคได้

11.การคุมกำเนิดเป็นเรื่องของผู้หญิงเท่านั้น

12.ถุงยางอนามัยเป็นการคุมกำเนิดวิธีเดียวที่ป้องกันโรคได้

13.หน้า7 หลัง 7 คือการนับวันแรกของการมีประจำเดือนเดินหน้า 7 วันและถอยหลัง 7 วัน

14. สวมถุงยางสองชั้นป้องกันได้ชัวร์ป้าบ

15.มีเซ็กซ์ทางทวารหนัก เสี่ยงกว่าทางช่องคลอด

เฉลยคำตอบชุดที่ 1

1.มั่วนิ่ม-ครั้งเดียวก็ท้องได้ขึ้นอยู่กับจังหวะการตกไข่และวันและเวลาของการมีเซ็กซ์

2.ชัวร์- รู้ไว้เถอะ หลั่งข้างนอกก็ท้องได้

3.มั่วนิ่ม-ถึงจุดสุดยอดตอนไหนก็ไม่เกี่ยวกัน

4.มั่วนิ่ม - ตอนมีประจำเดือนก็ท้องได้

5.มั่วนิ่ม-เซ็กซ์กับความผูกพันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

6.มั่วนิ่ม - เซ็กซ์ไม่ใช่เครื่องวัดความเป็นผู้ใหญ่เสียหน่อย

7.มั่วนิ่ม -เซ็กซ์เป็นเรื่องที่เราสามารถทำให้ถูกที่ถูกเวลา ไม่ใช่ตามเพื่อน

8.ชัวร์ - ถ้ามีเซ็กซ์กับคนติดเอดส์ก็สามารถติดได้ไม่ว่าจะเป็นชายหญิง หรือเพศเดียวกัน

9.มั่วนิ่ม - ออรัลเซ็กซ์ก็ติดเอดส์ได้ ถ้าปากเป็นแผล

10.มั่วนิ่ม -ยาคุมกำเนิดป้องกันการท้องได้แต่ไม่สามารถป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์ได้

11.มั่วนิ่ม - เซ็กซ์เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งสองฝ่าย

12. ชัวร์ - สวมถุงยางอนามัยเถอะเพราะเป็นวิธีเดียวที่สามารถป้องกันได้ทั้งท้องและโรค

13.ชัวร์ - นับก่อน7 หลัง 7 ต้องนับตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือนไม่ใช่วันที่หมด

14.มั่วนิ่ม - ถุงยางหลายชั้นไม่ได้เพิ่มความชัวร์ชั้นเดียวนั่นแหละปลอดภัยที่สุดแล้ว

15.ชัวร์- มีเซ็กซ์ทางประตูหลังเสี่ยงเอดส์มากที่สุด

ภัยจาก.....ผ้าอนามัย


วันนี้ขออนุญาตคุยเรื่องผ้าอนามัยนะคะ

หมอสังเกตว่าผ้าอนามัยนั้นเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับผู้หญิงเชียวนะคะ

" คุณหมอคะ ทำไมเมื่อดิฉันเป็นประจำเดือนทีไร ใส่ผ้าอนามัย จะต้องมีผื่นขึ้นที่ขาหนีบ และคันอยู่เรื่อยคะ ใช่ดิฉันแพ้ผ้าอนามัยหรือเปล่า "

คำถามนี้เป็นคำถามที่มีคนไข้ปรึกษาบ่อยๆ ค่ะ หมอมักจะตอบว่า

" อาการที่คุณเป็นนั้น คงมีสาเหตุเกี่ยวกับผ้าอนามัยแหละค่ะ แต่จะเป็นเพราะ แพ้ผ้าอนามัยหรือเพราะเป็นประจำเดือน ทางที่ดีก็ต้องตรวจภายในดูแหละค่ะ " คนไข้ส่วนหนึ่งอาจจะบอกว่า " แหมกำลังเป็นประจำเดือนอยู่ค่ะ คุณหมอช่วยจัดยา ให้ไปกินไปทาก่อนได้ไหมคะ เอาไว้หายจากเป็นประจำเดือนแล้วค่อยมาตรวจ "

" ให้ดีก็ตรวจภายในแหละค่ะ " หมอมักจะตอบซ้ำเช่นนั้น เพราะคนไข้มีผื่น ที่ขาหนีบเมื่อใส่ผ้าอนามัยตอนเป็นประจำเดือน ที่เจอบ่อยที่สุดไม่ใช่เป็นอาการแพ้ ผ้าอนามัยตามที่สงสัยนะคะ แต่เป็นเรื่องของการอักเสบจากการติดเชื้อราที่อวัยวะเพศและขาหนีบ เชื้อรานี้มักจะกำเริบก่อนเป็นประจำเดือน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความอับชื้น ฯลฯ ถัดลงมาจึงเป็นการแพ้ผ้าอนามัย และการติดเชื้อประเภทอื่นๆ

หมอเองพบว่า ถ้าไม่ได้ตรวจภายใน เฉพาะคำบอกเล่าของคนไข้เองนั้น ไม่สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำ เพราะการบอกเล่านั้น แล้วแต่อุปนิสัยของคนไข้นะคะ บางคนบอกน่ากลัว เช่น เป็นแผลขนาดใหญ่ เจ็บแสบมาก เมื่อตรวจภายในไม่พบแผลเลยก็มี บางคนบอกว่าเจ็บแสบนิดหน่อย เมื่อตรวจพบว่า มีแผลที่แคมขนาดใหญ่จนถึงกับเนื้อแคม แหว่งไปเลยก็มี ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติในบริเวณอวัยวะเพศ การตรวจภายใน จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เมื่อวินิจฉัยถูกต้อง การรักษาก็จะได้ผล

" แล้วถ้าแพ้อนามัยจะมีอาการต่างจากการติดเชื้ออื่นๆ อย่างไรค่ะ "

คนไข้บางคนสงสัย " ค่ะ อาการแพ้ผ้าอนามัย ก็เหมือนอาการแพ้ที่เกิดกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย คนเราแพ้ผ้าอนามัย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของผ้าอนามัย เช่น น้ำหอมได้ อาการแพ้มักเกิดเมื่อใส่ผ้าอนามัยไปได้ไม่นาน คือมีอาการคัน มีผื่นขึ้น ลักษณะของผื่นแดง บางทีเป็นตุ่มน้ำใสๆ สังเกตว่า อาการคันและตุ่มน้ำนี้ ไม่ได้อยู่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเท่านั้น ยังลามไปบริเวณรอบๆ ทวารหนัก คือบริเวณที่ผ้าอนามัยสัมผัสผิวของผู้สวมใส่ได้อีกด้วย เพราะถ้าแพ้อนามัย ผิวส่วนอื่นๆ ก็มักจะแพ้ด้วย ไม่ใช่เฉพาะผิวบริเวณอวัยวะเพศนะคะ " " รักษาอย่างไรคะ " " เมื่อมีผื่นแพ้ ก็ต้องเลิกใช้ของที่แพ้ และอาจใช้ยาแก้แพ้ ชนิดทาและหรือชนิดกินช่วย"

" คุณหมอคะ โรคอื่นๆ ที่กำเริบในช่วงเป็นประจำเดือนนั้น มีโรคอะไรบ้างคะ "

" ค่ะ ก็มีหลายโรค โรคที่พบบ่อยก็คือโรคเชื้อรา เชื้อรานี้โดยปกติร้อยละ 15 ของสตรี มีเชื้อนี้อยู่ โดยไม่มีอาการ เชื้อราเหล่านี้มักมีสาเหตุนำที่ทำให้เกิดอาการขึ้น เช่น ความอับชื้น ความเป็นกรดด่างที่เปลี่ยนไป ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ตั้งครรภ์ รับประทานยาคุมกำเนิด รับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ เป็นโรคพร่องภูมิต้านทาน รับประทานยาบางชนิด เป็นต้น ลักษณะของการอักเสบจากเชื้อรานี้ มักจะเป็นบริเวณรอบๆ ช่องคลอดและขาหนีบ ช่องคลอดจะบวมแดง คัน และเป็นรอยแตก ทำให้มีอาการปัสสาวะแสบร่วมด้วย ส่วนโรคอื่นที่ทำให้เกิดผื่นที่อวัยวะเพศ และพบบ่อยในช่วงเป็นประจำเดือน ได้แก่ โรคเริม ส่วนโรคติดเชื้อชนิดอื่นๆ ก็พบได้ แต่ไม่บ่อยค่ะ "

" อยากให้หมอเล่าเรื่องโรคเริม เขาว่าเป็นแล้วรักษาไม่หายจริงหรือเปล่าคะ "

" คะ โรคเริมนั้น เป็นการติดเชื้อไวรัส ชนิดเฮอร์ปี่ซิมเพล็กส์ชนิด 1 หรือชนิด 2 (HSV1, HSV2) โรคเริมที่อวัยวะเพศส่วนใหญ่เป็นการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สมัยก่อนเชื่อว่าชนิดที่ 1 นั้น เกิดที่ริมฝีปาก ชนิดที่ 2 เกิดที่อวัยวะเพศ ปัจจุบันเชื่อว่า ทั้งสองชนิดเกิดได้ที่อวัยวะเพศเหมือนๆ กันโดยชนิดที่ 1 บางทีติดมาจากริมฝีปาก ในกรณีมีการร่วมเพศโดยใช้ปากช่วย โรคเริมนี้มีระยะฟักเชื้อประมาณหนึ่งสัปดาห์ นั่นหมายถึงเมื่อร่วมเพศกับคนที่เป็นเริม อีกหนึ่งสัปดาห์ จึงจะมีอาการอักเสบจากโรคเริม

โรคเริมเมื่อเป็นครั้งแรก จะมีอาการมาก อวัยวะเพศจะขึ้นตุ่มใสๆ เป็นกลุ่ม ต่อมาไม่กี่วัน ตุ่มพวกนี้จะแตกเป็นแผลมีหนอง และเจ็บปวดมาก มีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กดเจ็บ ต่อมาแผลจะเริ่มตกสะเก็ดและหาย ใช้เวลานานถึง 2-3 สัปดาห์ เมื่อติดเชื้อเริมแล้ว เชื้อเริมจะไปอยู่ที่ปมประสาทในไขสันหลัง และแพร่เชื้ออกมาเป็นระยะๆ นั่นคือโรคเริม เมื่อเป็นแล้วไม่หายขาด เมื่อภูมิต้านทานของคนไข้ต่ำลง เช่น กำลังเป็นประจำเดือน ไม่ได้พักผ่อน วิตกกังวล เป็นต้น ก็จะเป็นโรคเริมกลับซ้ำมาอีก โรคเริมกลับซ้ำนี้ มักมีอาการไม่มาก บางทีมีตุ่มใสๆ สองสามตุ่มคันๆ แตกแล้วก็หายไป สรุปตุ่มที่อวัยวะเพศ ในช่วงเป็นประจำเดือนบางทีอาจเป็นการติดเชื้อจากโรคเริมได้ค่ะ "

" แล้วผื่นผ้าอ้อมในเด็กจะเหมือนผื่นที่ผู้ใหญ่ใส่ผ้าอนามัยไหมคะคุณหมอ ลูกดิฉันเวลาใส่ผ้าอ้อมแบบสำเร็จรูปก่อนนอน พอตอนเช้าก้นเป็นผื่นแดงไปหมดเลยค่ะ "

" ในเด็กไม่เหมือนในผู้ใหญ่นะคะ ผื่นผ้าอ้อมในเด็กนั้นสาเหตุที่พบมากได้ที่สุด คือผื่นแพ้ แพ้ความเปียกชื้น ปัสสาวะ อุจจาระ ลักษณะจะเป็นผื่นสีแดงเป็นปื้นใหญ่ รอบๆ อวัยวะเพศ ก้นและต้นขาค่ะ วิธีรักษาก็ง่าย เมื่อเลิกใช้ผ้าอ้อม ระวังความเปียกชื้นให้ดี ผื่นก็จะหายไปค่ะ "
" คุณหมอคะ หนูนะชอบใส่ผ้าอนามัยผืนเล็กๆ เพราะมีกลิ่นหอมและดูสะอาดดี เวลามีตกขาวก็ไม่เปรอะเปื้อนกางเกง แต่หนูสังเกตว่า เมื่อหนูใส่ผ้าอนามัย หนูจะมีตกขาวทุกวัน เป็นเพราะเหตุใดคะ "

" ค่ะ การใส่ผ้าอนามัยตลอดเวลา อาจจะทำให้รู้สึกสะอาด แต่เป็นสุขลักษณะที่ไม่ดีนะคะ เพราะจะทำให้ช่องคลอดมีการอับชื้นตลอดเวลา มีโอกาสติดเชื้อต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นจึงควรใส่ผ้าอนามัยในเวลาที่จำเป็นเท่านั้นนะคะ แม้แต่กางเกงชั้นในที่คับๆ ก็ควรจะหลีกเลี่ยง เปลี่ยนมาใช้กางเกงผ้าฝ้ายที่สวมใส่สบายจะดีกว่า เพราะถ่ายเทอากาศได้ดีกว่าค่ะ "

" คุณหมอคะ หนูเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ นิยมใช้ผ้าอนามัยแบบสอด จะมีโทษอะไรหรือเปล่าคะ เช่น จะทำให้ช่องคลอดหย่อนยานได้หรือเปล่า "

" ผ้าอนามัยแบบสอดนั้น มีมานานแล้วค่ะ ตั้งแต่สมัยยี่สิบปีก่อน แต่ไม่เป็นที่นิยมจริงๆ แล้วหลักการน่าจะดีนะคะ คือสอดม้วนสำลีเล็กๆ เข้าไปในช่องคลอดเพื่อให้ซับประจำเดือน ก่อนประจำเดือนจะมาเปรอะเปื้อนด้านนอก แต่มีปัญหาหลายอย่างที่ทำให้ไม่นิยมนะคะ
ข้อ 1. วัฒนธรรมไทย ไม่นิยมสอดอะไรเข้าไปในช่องคลอด พบว่ายารักษาโรคบางอย่าง ที่เป็นชนิดสอดเข้าช่องคลอดก็เช่นกัน คนไข้มักจะขอเปลี่ยนเป็นยาชนิดรับประทานแทน
ข้อ 2. เมื่อสอดเข้าไป ถ้าลืมไว้จะเกิดอันตรายได้ เนื่องจากประจำเดือนนั้นก็คือเลือด ซึ่งเป็นอาหารที่ดีของเชื้อโรค ทำให้ผ้าอนามัยแบบสอดนั้น กลายเป็นก้อนเชื้อโรค เกิดการติดเชื้อภายในได้ ที่ร้ายแรงก็คือ ถ้าอวัยวะเพศมีแผลอยู่ การติดเชื้อนั้น อาจลุกลามเข้ากระแสเลือดได้
ข้อ 3. ถ้าผู้สอดไม่คุ้นเคยกับอวัยวะภายในช่องคลอด จะเกิดความวิตกมาก
มีคนไข้รายหนึ่งมาหาหมอด้วยว่า เมื่อสอดผ้าอนามัยเข้าไป เกิดไปคลำเจอ ก้อนอะไรไม่ทราบแข็งๆ อยู่ในช่องคลอด เกิดความวิตกกลัวเป็นก้อนมะเร็ง จึงมาหาหมอ เมื่อตรวจแล้วพบว่าจริงๆ ก้อนนั้นเป็นปากมดลูกธรรมดาค่ะ
ถ้าไม่มีข้อ 1-3 การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดก็นับว่าสะดวกปลอดภัยและไม่ได้ทำให้ ช่องคลอดหย่อนยานประการใดนะคะ "

" คุณหมอคะ แม่ของหนูไม่ยอมให้หนูใช้ผ้าอนามัยตอนอยู่ที่บ้านในวันหยุด ท่านบอกว่าทำให้ ประจำเดือนไม่ค่อยไหล จริงหรือเปล่าคะ "

" ปัญหานี้ คนในเมืองกรุงคงไม่ค่อยเจอแล้วนะคะ ในต่างจังหวัดบางแห่งนั้น เมื่อมีประจำเดือนยังพบการใช้วิธี "ขี่ม้า" ประปราย ตอนหมอมาอยู่บ้านนอกใหม่ๆ ก็งงว่าขี่ม้านั้นหมายถึงอะไร มาทราบว่าคือการใช้ผ้าถุงสะอาดหลายผืน พันม้วนเป็นผืน ยาว และสอดรองระหว่างขาเมื่อเป็นประจำเดือน จริงๆ แล้วดูโบราณ แต่ถ้าผ้าเหล่านี้สะอาด ก็เป็นผ้าอนามัยชั้นดี ไม่ต้องเสียเงินตราออกนอกประเทศ แต่จะต้องเสียเวลาซัก เท่านั้นเองค่ะ การใส่ผ้าอนามัยแน่นเกินไปก็เป็นการปิดกั้นไม่ให้ประจำเดือนไหลออกมาจริงนะคะ ดังนั้นควรขยับผ้าอนามัยบ้าง เมื่อใส่ไปนานๆ ค่ะ "

ดื่มน้ำตอนไหนเวิร์คสุดๆ


การดื่มน้ำนอกจากจะทําให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสแล้ว ยังทําให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทํางานได้ดีอีกด้วย
ใน 1 วัน ควรดื่มเท่าไหร่ ?
ในทุก ๆ วัน ร่างกายจะต้องสูญเสียน้ำผ่านทางการหายใจและการขับถ่าย จึงเป็นสิ่งที่จําเป็นมากที่จะต้องรับน้ำเข้าไปเพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป และโดยปกติเราจะเสียน้ำจากการปัสสาวะเฉลี่ยวันละประมาณ 1.5 ลิตร และอีกเกือบถึง 1 ลิตรสำหรับ การหายใจแลเหงื่อ ซึ่งถ้าคุณดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร (ประมาณ 8 แก้ว) ก็จะช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำในส่วนนี้ได้ แต่สําหรับปริมาณน้ำที่ควรดื่มให้ได้ภายใน 1 วัน เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองแล้ว ถ้าเป็นหนุ่ม ๆ ควรดื่มให้ได้วันละ 3 ลิตร (ประมาณ 13 แก้ว)
ส่วนสาว ๆ วันละ 2.2 ลิตร (ประมาณ 9 แก้ว)
สําหรับสาว ๆ สปอร์ตี้เกิร์ล
จะต้องดื่มน้ำในปริมาณที่เยอะกว่าคนปกติ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของกิจกรรมที่ทําด้วย ถ้าคุณออกกําลังกายในช่วงสั้น ๆ
ก็ควรจะดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปครั้งละ 1-2 แก้วหลังจากออกกําลังกายแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงยาว ๆ ละก็เพิ่มขึ้นอีกสัก 2-3 แก้วก็ น่าจะเพียงพอแล้ว

ดื่มตอนไหน เวิร์กสุด ๆ

ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ

ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป

ตอนบ่ายๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)

ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม)

ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร และยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น

Saturday, May 17, 2008

ตายแล้วเราจะไปไหน


อยากทราบไหมว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน

ธรรมดาชีวิตมีอยู่ 2 ธรรมดา คือธรรมดาเกิดและธรรมดาตาย ธรรมดาชีวิตทั้งหลายย่อมมีตายและมีเกิด เมื่อมีเกิดแล้วก็ต้องมีธรรมดาตาย และเมื่อตายแล้วก็มีธรรมดาเกิด ชีวิตเกิดมาด้วยอำนาจของกรรมกระทำความดีไว้มากในอดีตและปัจจุบัน ก็ตายดีไปสู่สุคติ กระทำความชั่วไว้มากทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ตายเลวไปสู่ทุคติ

พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนในเรื่องตายไว้มาก เฉพาะอย่างยิ่งในพระไตรปิฏกฉบับที่ 3 อันมีนามเรียกว่า “พระอภิธรรมปิฏก” เป็นธรรมะอันยิ่งใหญ่ เป็นสัจธรรมอันละเอียดสุขุมมาก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง พระพุทธองค์ตรัสสอนเราว่ามนุษย์ตายแล้วไปสู่ 5 ทาง ทั้งนี้สุดแต่ความประพฤติของมนุษย์แต่ละคน คือ
1. ไปสู่ยมโลก (อบายภูมิสมบัติ)
2. กลับมาสู่มนุษยโลก (มนุษยภูมิสมบัติ)
3. ไปสู่เทวโลก (เทวภูมิสมบัติ)
4. ไปสู่พรหมโลก (พรหมภูมิสมบัติ)
5. ไปสู่อุตตรโลก (นิพพานสมบัติ)

ผู้เขียนขอกล่าวอย่างย่อ พอเข้าใจอย่างง่ายๆ ดังนี้
1. ไปสู่ยมโลก
มนุษย์ที่มีความประพฤติเลว เป็นมนุษย์ไม่รักษาศีล ชอบประพฤติทุศีล กระทำทุจริตคดโกงธนาคาร ชอบการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ย่อมไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน, สัตว์เปรต, สัตว์นรก และสัตว์อสุรกาย ที่นิยมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อบายภูมิ เมื่อใช้กรรมในอบายภูมิสิ้นสุดลงแล้ว ก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก
ตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวเช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อเพราะว่าผู้เขียนมีความเคารพในพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงกล่าวจากการตรัสรู้ในเรื่อง “ทศพลญาณ” มี 10 หัวข้อ ในข้อที่ 3 มีว่า “สัพพัตถคามีนีปฏิปทาญาณ” คือมีญาณหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิต่างๆ ของสรรพสัตว์ อันเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า หรือวิสัยของพระอรหันต์ มนุษยวิสัยอย่างเราซึ่งยังมีกิเลส ไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้
ผู้เขียนมีความเห็นว่า วิญญาณาสัตว์เดรัจฉาน, สัตว์เปรต, สัตว์นรก และสัตว์อสุรกาย ที่จะกลับมาเกิดเป็นคนนั้น คงจะมาเกิดเป็นคนในจำพวก “คนชั้นเลว” กล่าวคือ เป็นคนจำพวกที่เป็นใบ้ เป็นบ้า หูหนวก ตาบอด มือด้วน เท้าด้วน พิกลพิการ ยากจนค่นแค้น ต้องขอทานเขากิน รูปร่างไม่สวยงาม ไม่น่าดู เป็นโรคเรื้อนพุพองทั้งตัว หรือบางคนมีรูปร่างคล้ายสัตว์ มีจิตใจอย่างสัตว์ เพราะว่าเพิ่งจะพ้นจากความเป็นสัตว์มาใหม่ๆ จึงชอบยื้อแย่งเขากินเยี่ยงสัตว์ หรือชอบยื้อแย่งเขาทางกามารมณ์เยี่ยงสัตว์ มีนิสัยชอบเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีจิตใจชอบคดโกง วิญญาณและเจตสิกได้นำเอาคุณสมบัติในอบายภูมิติดมาใช้ในขณะเกิดเป็นคน วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ถ้าวิญญาณมีลักษณะเลว นามรูปที่เกิดจากวิญญาณเลวก็มีรูปและนามไปในทางเลว

2. มาสู่มนุษยโลก
มนุษย์ที่มีความประพฤติดี เป็นมนุษย์ที่รักษาศีล มีความประพฤติเรียบร้อยไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ย่อมจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก
นายเอียน สตีเวนสัน นักค้นคว้าการระลึกชาติของประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกได้กล่าวที่ห้องฝึกสมาธิของแผนกธรรมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มหาวิทยาลัยสงฆ์) ในพระบรมราชูปถัมภ์แห่งวัดมหาธาตุ ได้เล่าเรื่องการตายแล้วเกิดของบุคคลต่างๆ ที่เขาได้ทำการสำรวจและค้นคว้าการระลึกชาติของมนุษย์จากหลายประเทศ โดยเขายืนยันว่าได้พบสถิติที่น่าพิจารณา ที่มนุษย์ตายแล้วได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที ส่วนมากก็ระลึกชาติได้
มนุษย์ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันทีโดยไม่ผ่านไปยังสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เปรต, สัตวอสุรกาย, สัตว์นรก, ทวยเทพในเทวโลก หรือทวยเทพพรหมโลกนั้น คงจะเนื่องจากภวังค์จิต หรือวิถีจิตของมนุษย์ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในทันที มีวิถีจิตหรือภวังค์จิตที่ติดต่อกันในเวลากระชั้นชิดมาก ความจำยังสดใสอยู่ จึงสามารถระลึกชาติได้ ถ้าวิญญาณไปเกิดยังภพต่างๆ เป็นเวลานาน แล้วจึงมีโอกาสกลับมาเป็นมนุษย์อีก ไม่สามารถระลึกชาติได้ เพราะภวังค์จิตหรือวิถีจิตไม่ติดต่อกันอย่างใกล้ชิด จึงไม่สามารถจะระลึกชาติได้ แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากการเกิดได้ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า “วิมุตติรส” วิญญาณที่เป็นวิมุตติรสคงเป็น “วิญญาณทิพย์” เช่นนี้ เราก็สามารถปฏิบัติตนให้มีอำนาจเหนือวิญญาณของเราได้ในชาติปัจจุบัน เราก็จะได้ “อภิญญา” คือ การหยั่งรู้การเกิดในชาติต่างๆ แต่หนหลังของเราได้ใน “ทศพลญาณ” ของพระพุทธองค์ (ข้อ 8) หรือ “อภิญญา” ของพระพุทธองค์ (ข้อ 4) ข้อความตรงกัน คือ “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” คือ “ญาณหยั่งรู้ชาติต่างๆ แต่หนหลัง”
ตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “มนุษย์ประพฤติเรียบร้อย ไม่ประพฤติเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้แล้ว จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก” การที่ทรงกล่าวไว้เช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อ 100 % ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เล็กน้อยในการระลึกชาติได้บ้าง วิญญาณของมนุษย์พวกรักษาศีล ซึ่งจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในรูปใหม่และนามใหม่นี้ อาจจะต้องเกิดเป็นมนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นกลาง” กล่าวคือ เป็นมนุษย์ที่มีฐานะปานกลางไม่ยากจน แต่คงไม่ร่ำรวยมาก พอกินพอใช้ ไม่มีความทุกข์ทรมานมากนัก รูปร่างเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่หูหนวก, ไม่ตาบอด, เป็นใบ้ เป็นบ้าหรือพิกลพิการแต่อย่างใด มีลักษณะเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ มีจิตใจเต็มไปด้วยมนุษยธรรม ไม่ยื้อแย่งอาหาร หรือยื้อแย่งทางกามารมณ์อย่างสัตว์ เพราะมีวิญญาณที่มีเจตสิกที่มีคุณภาพสูงมาแต่เดิม จึงมีจิตที่ดีงามมีศีลธรรม มีความคิด ความจำได้หมายรู้ เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ไม่มีนิสัยที่ชอบประพฤติเบียดเบียนใครว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน

3. ไปสู่เทวโลก
มนุษย์ที่มีความประพฤติดี เป็นมนุษย์ที่รักษาศีล มีความประพฤติเรียบร้อยไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีความประพฤติเพียงนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใจ เขายังชอบประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เช่น การจัดสรรประโยชน์ต่างๆ ให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เป็นต้น มนุษย์ใจบุญประเภทนี้ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไปจะได้ไปเกิดในเทวโลกเป็นทวยเทพพวกหนึ่งที่ยังบริโภคกาม เมื่อหมดบุญในสวรรค์ชั้นเทวโลกแล้วจะต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อความทุกข์ต่อไปอีก

ตามที่พระสมณโคดมทรงกล่าวเช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อ 100 % เพราะว่าเคยปฏิบัติเข้าสู่สภาวะสัมผัสจิตละเอียดในบางครั้ง และเห็นว่าวิญญาณของทวยเทพจากสวรรค์ชั้นเทวโลกที่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น อาจจะได้เกิดเป็นมนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นดี” กล่าวคือ เป็นมนุษย์ที่มีฐานะสูง มีความร่ำรวย มีร่างกายแข็งแรง เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ มีมันสมองดี มีความอดทนดี มีปัญญาเฉียบแหลม รูปร่างสวยงาม เพราะว่าเพิ่งจะพ้นจากความเป็นเทวดามาใหม่ๆ มีจิตใจสวยงามเต็มเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม ไม่มีความคิดที่จะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีความเมตตา กรุณา เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ถ้ามนุษย์ชั้นดีเหล่านี้ได้พบธรรมะของพระพุทธองค์ และเข้าใจซาบซึ้งในธรรมะนั้น แล้วลงมือปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างพระพุทธองค์แล้ว มนุษย์ชั้นดีก็จะได้รับรสดี คือ “วิมุตติรส” ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามแบบอย่างพระพุทธองค์

4. ไปสู่พรหมโลก
มนุษย์ที่นิยมปฏิบัติสมถกรรมฐาน (สมถะภาวนา) คือ การทำจิตเข้าสู่สมาธิโดยภาวนาฌาน ตามแบบโยคีหรือฤาษี เช่น อุททกดาบสรามบุตร อาฬารดาบส กาลามโคตร ผู้ที่เคยเป็นพระอาจารย์ของพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นพวกที่กำหนดสิ่งภายนอกกายเป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิ โดยอาศัยกรรมฐาน 40 อย่าง ในอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์การทำจิตเข้าสู่สมาธิ กรรมฐาน 40 อย่างนั้น คือว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน
กสิณ 10 อย่าง
อสุภ 10 อย่าง
อนุสสติ 10 อย่าง
พรหมวิหาร 4 อย่าง
อรูปธรรม 4 อย่าง
อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 อย่าง
จตุธาตุววัตถานะ 1 อย่าง
รวม 40 อย่าง

เป็นมนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิโดยสมถะภาวนา จนสามารถเข้าฌานสมาบัติได้ เมื่อมนุษย์พวกนี้กายแตกละจากโลกนี้ไปในขณะที่มีอารมณ์อยู่ในฌานใด วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกก็จะลอยไปเกิดยังพรหมโลก ในชั้นต่างๆ กันของพรหมโลก จะอยู่พรหมโลกชั้นใดขึ้นอยู่กับชั้นต่างๆ ของฌาน ซึ่งพรหมโลกมีอยู่ 20 ชั้น เป็นอรูปพรหมมี 4 ชั้น เป็นรูปพรหม 16 ชั้น เป็นทวยเทพอีกพวกหนึ่งที่ไม่บริโภคกาม เมื่อหมดบุญในสวรรค์ชั้นพรหมแล้วก็จะต้องมาเกิดยังโลกมนุษย์เพื่อรับความทุกข์ต่อไปอีก

ตามที่พระตถาคตทรงกล่าวไว้เช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะผู้เขียนมีความเคารพเลื่อมใสในการตรัสรู้ “ทศพลญาณ” ของพระพุทธองค์ ซึ่งมนุษย์ปุถุชนผู้มีกิเลสไม่สามารถหยั่งรู้ได้ “ทศพลญาณ” คือ
1. มีญาณหยั่งรู้เหตุที่ควรเป็น และเหตุที่ไม่ควรเป็น (ฐานาฐานะญาณ)
2. มีญาณหยั่งรู้ผลแห่งกรรมของสัตว์ (วิปากญาณ)
3. มีญาณหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิต่างๆ ของสัตว์ (สัพพัตถคามีนีปฏิปทาญาณ)
4. มีญาณหยั่งรู้คุณสมบัติของธาตุต่างๆ (นานาธาตุญาณ)
5. มีญาณหยั่งรู้นิสสัยเลวของสัตว์ (นานาวิมุติญาณ)
6. มีญาณหยั่งรู้ในอินทรีย์ห้าของสัตว์ (อินทริยปโรปริยัตตญาณ)
7. มีญาณหยั่งรู้อาการของญาณ (ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ)
8. มีญาณหยั่งรู้ชาติต่างๆ แต่หนหลัง (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
9. มีญาณหยั่งรู้การตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย (จุตูปปาตญาณ)
10. มีญาณหยั่งรู้วิธีทำให้ลิ้นอาสวะ (อาสวัคขยญาณ)

มนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิโดยสมถะภาวนา ขณะตายจิตอยู่ในญาณใด วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกจะลอยไปเกิดยังพรหมโลกชั้นใด พระพุทธองค์ทรงหยั่งรู้ด้วย “ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ” (ทศพลญาณข้อ 7)
ผู้เขียนมีความเห็นว่า “วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกของทวยเทพจากสวรรค์ชั้นพรหมโลกที่จะต้องกลับมาจุติยังโลกมนุษย์นั้นคงจะได้เกิดเป็นมนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นดีมาก” กล่าวคือ เป็นมนุษย์จำพวกที่มีฐานะสูงมาก มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เช่น เกิดในตระกูลกษัตริย์ เกิดในตระกูลเศรษฐี และมหาเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองอย่างมหาศาล เกิดมาได้เป็นหัวหน้าประเทศ มีโอกาสได้เป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือได้เป็นหัวหน้าคณะศาสนา ได้รับความสุขในการดำรงชีวิตสูงกว่ามนุษย์จำพวกอื่น เกิดมามีมันสมองดีมาก มีความจำสูงมาก มีจิตใจสูง มีความเมตตากรุณาแก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เป็นมนุษย์ที่มองเห็นความทุกข์ยากของบุคคลอื่นมากกว่าความทุกข์ยากของตนเอง ถ้ามนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นดีมาก” เหล่านี้ได้พบธรรมะของพระพุทธองค์ ก็คงจะซาบซึ้งในพระธรรมนั้นและเมื่อลงมือปฏิบัติธรรมของพุทธองค์แล้วมนุษย์ชั้นดีมากก็จะได้พบรสแห่งความสันติอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ จะได้พบ “วิมุตติรส” ของพระพุทธองค์อย่างเดียวกัน และในที่สุดก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบันของเขานั้น
รสของน้ำทะเลมีรสเดียวคือ “รสเค็ม” และรสพระธรรมของพระพุทธองค์ก็มีรสเดียวคือ “วิมุตติรส” น้ำในลำธาร, ในลำแม่น้ำ, ในลำคลอง, และน้ำฝน มีรสไม่เหมือนกัน เมื่อไหลลงสู่ทะเลรวมกันแล้วก็จะมีเพียงรสเดียว คือ “รสเค็ม” ฉันใดที่มนุษย์เข้าใจซาบซึ้งในพระธรรมของพระพุทธองค์ และได้ลงมือปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ชาติใด ภาษาใด วรรณะใด และวัยใด ย่อมจะได้พบรสพระธรรมอย่างเดียวกัน คือ “วิมุตติรส” ฉันใดก็ฉันนั้น
ข้อเปรียบเทียบนี้ เป็นพระธรรมเทศนาของพระตถาคต มีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฏกซึ่งเป็นสูตรหนึ่งที่ว่าด้วยความน่าอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย

5. ไปสู่อุตตรโลก
มนุษย์ที่นิยมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ การนำจิตเข้าสู่ความเห็นแจ้ง (ญาณทัศนะ) ตามแบบพระพุทธองค์ เป็นพวกกำหนดสิ่งภายในร่างกายเป็นอารมณ์ในการนำจิตเข้าสู่สมาธิโดยอาศัยโพธิปักขิยธรรม 7 หมวด ในหมวดใดหมวดหนึ่งเป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิ) โพธิปักขิยธรรม 7 หมวด คือ
1. สติปัฏฐานสี่
2. สัมมัปปธานสี่
3. อิทธิบาทสี่
4. อินทรีย์ห้า
5. พละห้า
6. โพชฌงค์เจ็ด
7. มรรคแปด

เป็นมนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิและปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา โดยที่กำหนดหมวดใดหมวดหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม 7 หมวดนั้น เป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิจนสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ และได้บรรลุมรรคผลเข้าครองชีวิตพระอรหันต์ อริยบุคคลจำพวกพระอรหันต์นั้น เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นอะไรอีก ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีชาติหน้า สิ้นภพ, สิ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอีกต่อไปชั่วนิรันดร ซึ่งชาวพุทธนิยมเรียกว่า ดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ตามแบบอย่างพระพุทธองค์ ไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อรับความทุกข์อีก
ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้ชาวพุทธไปสู่นิพพานนั้น ผู้เขียนมีความเชื่อเพราะมีความเห็นว่า อริยบุคคลที่บรรลุมรรคผล เข้าครองชีวิตพระอรหันต์นั้น เป็นมนุษย์จำพวก “มนุษย์ชั้นดีเลิศ” เป็นมนุษย์ที่หมดมลทินจากกิเลสทั้งปวงเป็นมนุษย์ที่มีปัญญาอันล้ำเลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวงเป็นมนุษย์ที่มิได้สร้างกรรมอันใดไว้ จึงไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อสนองกรรม ตามกฎแห่งกรรมของพระตถาคต

หมายเหตุ :-
ภาวนา แปลว่า การทำให้เกิดขึ้นในใจ
สมถะ แปลว่า ความสงบจิต (ฌาน)
วิปัสสนา แปลว่า ความเห็นแจ้ง (ญาณทัศนะ)
“สมถะภาวนา” แปลว่า “การทำให้ความสงบจิตเกิดขึ้นในใจ”
“วิปัสสนาภาวนา” แปลว่า “การทำให้ความเห็นแจ้งเกิดขึ้นในใจ”

ใช้ยาระบายติดต่อกันนานๆ จะเป็นอันตรายไหม


โครงการ “ล้านคำถามเรื่องยา ปรึกษาเภสัชกร” โดยความร่วมมือของสภาเภสัชกรรม กับ อย.

ยาระบายในที่นี้คงหมายถึง “ยาเม็ดเคลือบสีเหลือง” และยาอื่นที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ซึ่งเป็นยาที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย และมีการใช้กันเป็นประจำเมื่อต้องการถ่ายอุจจาระ

เมื่อมีการใช้ยานี้เป็นประจำ ร่างกายจะมีการปรับตัวด้วยการดื้อยาหรือต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นๆ เรื่อยๆ จึงจะได้ผล เช่น ในกรณีที่เริ่มต้นใช้ยาระบายชนิดนี้โดยทั่วไปจะใช้ครั้งละ 1-2 เม็ด ก่อนนอน แล้วยาจะเริ่มออกฤทธิ์ช่วยให้ถ่ายอุจจาระในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อมีการใช้เป็นประจำ ติดต่อกันนานๆ จากครั้งละ 2 เม็ด ก็ต้องเพิ่มเป็น 3, 4, 5, ……และเพิ่มมากขึ้นๆ ตามความถี่และระยะเวลาที่ใช้ยา จากประสบการณ์ของผมเคยพบรายหนึ่งที่ใช้ยาระบายครั้งละ 20 เม็ดเพื่อใช้ระบายหรือถ่ายอุจจาระ 1 ครั้ง เพราะถ้าไม่ใช้ยา ร่างกายจะไม่ถ่ายอุจจาระด้วยตนเองตามปกติ จะต้องใช้ยาระบายกระตุ้นทุกครั้งจึงจะถ่ายอุจจาระได้

ปัญหาหลักๆ ของผู้ใช้ยากลุ่มนี้ คือ มักมีความเชื่อว่า“ควรถ่ายอุจจาระทุกวันเป็นประจำ” เพราะว่าถ้าไม่ได้ถ่ายทุกวันตอนเช้า จะรู้สึกผิดปกติ หรือในบางคนบ่นว่ารู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ และผายลมบ่อย ด้วยเหตุนี้จึงมีการกินยาระบายอย่างประจำทุกวันก่อนนอนแต่ในทางการแพทย์พบว่าความถี่บ่อยของการถ่ายอุจจาระขึ้นอยู่กับลักษณะจำเพาะของแต่ละบุคคล ในบางคนอาจถ่ายอุจจาระทุกวัน แต่ในบางคนวันเว้นวัน หรือวันเว้นสองวัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละคน ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องถ่ายทุกวันเหมือนกันหมด นอกจากนี้การถ่ายอุจจาระยังขึ้นอยู่กับลักษณะของอาหารการกิน ปริมาณน้ำที่ดื่ม และการออกกำลังกายอีกด้วย อาหารที่มีเส้นใยไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร จะเหลือเป็นกากอาหารและยังคงช่วยดูดซับน้ำในลำไส้ใหญ่ไว้ เป็นการช่วยเพิ่มปริมาณและเพิ่มความเหลวของอุจจาระได้ดีอีกด้วย ถ้าดื่มมากๆ (มากกว่า 2 ลิตรต่อวัน) ช่วยให้อุจจาระอุ้มน้ำ พองตัว เหลว ไม่แข็ง และถ่ายได้ง่าย
ส่วนเรื่องการออกกำลังกายนั้น การเคลื่อนไหวเบาๆ ตอนเช้า เช่น การเดิน ก็ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ให้ขับถ่ายอุจจาระออกมาได้ง่ายอีกทางหนึ่งด้วย การใช้ยาระบายบางชนิดเป็นประจำ อาจทำให้เกิดการดื้อยา และต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายเคยชินไม่ยอมถ่ายอุจจาระด้วยตนเอง และไม่ควรยึดถือความเชื่อที่ว่า “ทุกคนควรถ่ายอุจจาระทุกวัน

25 บุคลิกคนเป็น...เกย์


1. พิถีพิถันในการแต่งกายมากเป็นพิเศษตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า

2. ชอบใส่เสื้อผ้ารัดรูป เสื้อยืดหรือเสื้อกล้ามสีขาว
เน้นกล้าม อก ไหล่ อ้างว่า ตามแฟชั่น แต่จริง ๆ อยากโชว์

3. ชอบเล่นกีฬาประเภทฟิตเนส วอลเลย์บอลแบดมินตัน ว่ายน้ำ เน้นฟิตร่างกายให้ล่ำบึกจนเมาท์กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า 80 % ของผู้ชายที่เข้าฟิตเนสจะเป็นชายไม่สนหญิ ง

4. บางคนมักชอบจะอยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชาย

5. พูดจาไพเราะเสนาะโสตกับสาวๆเสียเหลือเกิน เป็นสุภาพทุกกระเบียด

6. พยายามทำตัวเองให้วุ่นกับงาน เขาจ้างมาทำแปดชั่วโมง ถวายหัวให้ 20 ชั่วโมงไม่ค่อยมีเวลาให้แฟน หรือทางบ้าน จะใช้เป็นข้ออ้างไม่แต่งงาน เพราะแต่งกับงานไปแล้วหรือแอบหลงรักเจ้านายผู้ชายอยู่ ?

7. เป็นลูกชายคนเล็ก หรือลูกคนกลาง อยู่บ้านขี้อ้อนมาก

8. มักประกอบอาชีพ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน นักแสดง นักร้อง แดนเซอร์ แพทย์ หมอฟัน เภสัช และครู (อาชีพอื่น ๆ ก็มี แต่ยังไม่ค่อยเผยให้เห็น)

9. ยามว่างชอบใส่ชุดลำลองประเภท กางเกงขาสั้นเสื้อกั๊ก รองเท้าแตะแบบรัดส้น เสื้อโปโล และหมวกทายูวี ป้องกันแสงแดดแบบขาดไม่ได้ จะตายเอา

10. ปากเล็กสีชมพู้ชมพู จมูกโด่ง คิ้วบางโค้งเป็นวงพระจันทร์ พบมากในเกย์ควีนนักแอบมืออาชีพ

11. ทำตัวคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง เช่นพูดจาเร็ว เดินเร็ว ไม่อยู่นิ่ง แอ็กทีฟ ไฮเปอร์

12. สนใจด้านภาษาศาสตร์ วรรณกรรมศาสตร์แห่งความสวยความงาม

13. ทำตัวเป็นคนมีความลับบ่อยๆ เช่น ไม่ให้ยุ่งกับโทรศัพท์มือถือ ของฉันห้ามแตะ!

14. ห้ามถามเรื่องส่วนตัว

15. ชอบทานขนมจำพวกเบเกอรี่ เค้ก พาย ช็อกโกแลต

16. สนใจสุขภาพเป็นพิเศษ เช่น กินวิตามินเสริม ใช้เครื่องสำอางมากจำนวนเป็นพิเศษ!

17. เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวกับบทกวี ภาพยนตร์ซึ้ง ๆ ขี้ใจน้อย

18. ใส่ตุ้มหูข้างเดียว เดินนวยนาด ทิ้งสะโพกเกินมาดชาย!

19. มักหลงเรือนร่างตัวเองเกินความจำเป็นเรียกว่าไม่ยอมแก่ว่างั้นเถอะ

20. ชอบเปิดดูนิตยสารที่มีรูปผู้ชายถ่ายแบบแฟชั่น โพสท่าเซ็กซี่

21. วางท่าทางได้เท่กว่าผู้ชายทั่วไป ท่ายืนของเกย์ต้องโพสนิดนึง มือไม้นิยมซุกอยู่แถวกระเป๋ากางเกงยีนส์ สอดสี่นิ้วโผล่นิ้วโป้ง มือข้างหนึ่งสอดกระเป๋าหน้า อีกข้างสอดกระเป๋าหลัง เท่สุด ๆ

22. กิริยาท่าทาง พูดจามือไม้จะวาดตามคำพูดแม้จะเก็บแล้วก็ตาม (ก็ยังออก) หยิบจับสิ่งใดนิ้วก้อยจะยกองศาขึ้นตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัวพบมากในกลุ่มเกย์สาวเช่นกัน

23. สวมแหวนที่นิ้วกลางข้างซ้าย(สัญลักษณ์ของความเข้มแข็งที่อ่อนแอ)

24. ชอบกัดเล็บ เวลาเหม่อหรือมีเรื่องกลุ้มใจ(แสดงถึงขาดความมั่นใจในตัวเอง)

25. ชอบฟังเพลง I will survive เพลงแดนซ์ เพลงคลาสสิก เพลงโอเปร่า บรอดเวย์ มากๆ

Sunday, May 4, 2008

บทความพิเศษเรื่อง การเกิด bad ของฮาร์ดดิสก์ ที่น่าจะได้อ่านกัน


ตกลงกันก่อน บทความนี้ได้มาจากการที่มีผู้ใจดีมาโพสต์ไว้ในกระทู้ของ pantip.com ซึ่งเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ และไม่อยากให้บทความดี ๆ ต้องสูญหายไป ดังนั้น จึงขอนำเอาข้อความที่มีผู้มาโพสต์นี้ เก็บไว้ในที่แห่งนี้ เพื่อเผยแพร่ครับ (ขอให้อ่านโดยใช้ความเชื่อของท่านเองนะครับ ว่าจะเชื่อหรือไม่ อย่างไร)
การ Low-level Format และ High-level Format
การ Low-lovel Format เป็นกระบวนการทำงานของฮาร์ดดิสก์โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างหรือกำหนด Track, Sector หรืออธิบายได้อีกอย่างว่าเป็นการเขียนโครงสร้างของ Track,Sector ตามรูปแบบที่ Firmware ภายในฮาร์ดดิสก์ได้กำหนดไว้ เพื่อให้การทำงานของกลไกภายในกับวงจรควบคุมหรือ PCB สอดคล้องเป็นระบบเดียวกัน ซึ่งการ Low-level Format นั้นเป็นการลบข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่ข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกลบไปอย่างถาวรจริง ๆ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่า การ Low-level Format นั้น เป็นกระบวนการทำงานหรือเป็นคำสั่งของฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่า ที่ยังใช้ Actuator แบบ Stepper Motor ,ใช้ระบบ Servo เก่า ๆ แบบ Dedicated Servo, มีการใช้โครงสร้างของ Track, Sector แบบเก่า ซึ่งฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่และไม่เหมือนกันเลย การใช้ Stepper Motor เป็น Actuator ของฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่า ๆ นั้น มีข้อเสียหรือจุดอ่อนตรงที่เมื่อเราใช้ไปนาน ๆ เฟืองกลไกภายใน Motor จะหลวม ทำให้การควบคุมให้หัวอ่าน/เขียนอยู่นิ่ง ๆ บน Track (ที่จะอ่านข้อมูล)เป็นไปได้ยาก และอีกสาเหตุที่กลไกหลวม ก็เพราะอุณหภูมิที่สูงซึ่งเกิดจากการที่ตัว Actuator เคลื่อนที่ไปมาเพื่อหาข้อมูล แน่นอนครับ มันเป็นโลหะที่ต้องมีความร้อนเกิดขึ้น เปรียบเทียบก็เหมือนกับ Ster รถจักรยานหรือรถจักรยานยนต์ ที่ต้องรูด เมื่อเจอกับโซ่ที่ลากผ่านไปมาเป็นเวลานาน ๆ และก็เป็นสาเหตุให้หัว/อ่านเขียน ไม่สามารถอ่านข้อมูลได้อย่าง ถูกต้อง ยิ่งนับวันอาการก็จะรุนแรงมากขึ้น อีกประการหนึ่งที่การ Low-level Format ไม่สามารถนำมาใช้กับ ฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ได้ก็เพราะโครงสร้างการจัดวาง Track, Sector ไม่เหมือนกัน ฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าจะมีจำนวนของ Sector ต่อ Track คงที่ ทุก ๆ Track แต่ในฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ จำนวนของ Sector จะแปรผันไปตามความยาว ของเส้นรอบวง (ของ Trackนั่นแหละครับ) ยิ่งต่างรุ่นต่างยี่ห้อต่างความจุ ก็ยิ่งต่างไปกันใหญ่ หากเราฝืนไป Low-level Format ผมบอกตรง ๆ ครับว่านึกไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฮาร์ดดิสก์อาจไม่รับคำสั่งนี้เพราะ ไม่รู้จักหรืออาจรับคำสั่งแล้วแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จนอาจจะทำให้วงจรคอนโทรลเลอร์ (PCB) สับสนกันเอง (ระหว่าง IC) จนตัวมันเสียหายก็ได้ แต่ถ้าฮาร์ดดิสก์ของเพื่อนท่านใดเป็นรุ่นเก่า ซึ่งมีลักษณะตรงกับที่ผมเอ่ยมา และมี BIOS ที่สนับสนุนก็สามารถ Low-level Format ได้ครับ (เช่น คอมฯ รุ่น 286 ของผม Hdd 40MB.) เราจะเห็นได้ว่า BIOS รุ่นใหม่จะไม่มีฟังก์ชั่น Low-level Format แล้ว เพราะ BIOS ก็ไม่อาจที่จะรู้จักโครงสร้าง Track, Sector ของฮาร์ดดิสก์ได้ทุกยี่ห้อ ทุกรุ่นเพราะความต่างอย่างที่ผมบอกไว้ละครับ กลับมาสู่ความจริงของความรู้สึกเรากันหน่อยนะครับ ซึ่งผมเข้าใจดีว่า เพื่อน ๆ ทุกคนหากเมื่อเจอ Bad Sector ในฮาร์ดดิสก์ของตัวเองย่อมใจเสียแน่นอน เพราะข้อมูล ที่อยู่ข้างในนั้นมีผลกับจิตใจ กับความรู้สึกของเรามาก และเราต้องการที่จะได้มันคืน และในตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิด ถึงด้วยซ้ำว่าเราซื้อมันมาแพงแค่ไหน และถ้าหากเราได้ยิน ได้ฟังอะไรที่เล่าต่อกันมาว่า มันสามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ของเราดีเช่นเดิมได้ เราย่อมให้ความสนใจ อยากลอง อยากได้ อยากมี แต่เพื่อน ๆ ครับ อย่างที่ผมบอกละครับว่าการ Low-level Format นั้นใช้ไม่ได้กับฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ ๆ ตัวผมเองก็เป็น Salary Man หรือมนุษย์ เงินเดือนเหมือนเพื่อน ๆ ละครับ ผมรู้สึกเสียดายเป็นเช่นกัน แต่เมื่อผมมาถึงจุด ๆ หนึ่งที่รู้ว่าเราไม่สามารถเอา สนามแม่เหล็กมาเรียงให้ดีเหมือนเดิมได้ และไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะมาช่วยได้ด้วย ผมก็ต้องปลง และถนอมมัน ให้ดีที่สุด เอาละผมขอพากลับมาที่เนื้อหากันต่อนะครับ
การ High-level Format หรือการ Format (หลังจากการแบ่ง Partition แล้ว) ที่เราเรียกกันอยู่บ่อย ๆ โดยใช้ DOS นั้นมีจุดประสงค์เพื่อทำการเขียนโครงสร้างของระบบไฟล์ (FAT: File Allcation Table ซึ่งมีทั้ง FAT32 และ FAT16) และเขียน Master Boot Record (ซึ่งเป็นพ.ท.ที่จะเก็บแกนหลักของระบบปฏิบัติการเช่น DOS) การ Format นี้นั้นฮาร์ดดิสก์จะไปลบ FAT และ Master Boot Record ทิ้งไป แต่มันไม่ได้ทำการลบทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนดังเช่นเรากวาดของบนโต๊ะทิ้งไปจนเหลือแต่พื้นเรียบๆ มันแค่ทำการเขียนข้อมูล "0000" ลงไปบนแผ่นดิสก์ เท่านั้น ซึ่งคำว่า "เขียนข้อมูล 0000 ก็คือการFormat ของเรานั่นแหละครับ" ดังนั้นหากใครคิดว่าการ Format บ่อย ๆ นั้น ไม่ดีก็... (ผมขอไม่ตอบเพราะมันเป็นเรื่องนานาจิตตังครับ) เพื่อน ๆ บางคนถามในกระทู้ว่า Virus ทำให้เกิด Bad Sector ได้หรือไม่ ผมขอตอบว่าไม่ แต่มันทำให้ ฮาร์ดดิสก์เสียได้ครับ เพราะการที่มันเข้าไปฝังที่ Master Boot Record ครับ ก็ต้องแก้กันโดยการ Fdisk กำหนด Partition กันใหม่ และVirus ก็เป็นเพียงแค่ข้อมูล ๆ หนึ่งที่เราจะลบทิ้งไปก็ได้ และ Virus จะเข้าไปใน Firmware และSystem Area ของฮาร์ดดิสก์ก็ไม่ได้เด็ดขาด เพราะ Firmware ของฮาร์ดดิสก์จะไม่ยอมให้แม้กระทั่ง BIOS ของคอมฯเห็น Cylinder นี้ซึ่งเสมือนว่า Cylinder นี้ไม่มีอยู่จริง การที่ฮาร์ดดิสก์พบ Bad Sector นั้น มันจะทำการทดลองเขียน/อ่านซ้ำ ๆ อยู่พักหนึ่งจนกว่าจะครบ Loop ที่ กำหนดแล้ว ว่าเขียนเท่าไหร่ก็อ่านไม่ได้ถูกต้องซักที ฮาร์ดดิสก์ก็จะตีให้จุดนั้นเป็นจุดต้องห้ามที่จะเข้าไปอ่านเขียนอีก แต่ถ้าข้อมูลสามารถกู้คืนมาได้มันก็จะถูกย้ายไปที่ ๆ เตรียมไว้เฉพาะ เมื่อฮาร์ดดิสก์ตีว่าจุดใดเสียแล้วมันจะเอาตำแหน่งนั้นไปเก็บที่ System Area ซึ่งข้อมูลที่บอกว่ามีจุดใดที่เสียบ้างนั้นจะถูกโหลดมาทุกครั้งที่ฮาร์ดดิสก์ Boot และเราไม่สามารถเข้าไปแก้ข้อมูลนี้ได้ด้วยครับ Norton ก็ทำไม่ได้ สิ่งที่มันทำ ก็ทำได้แค่ Mark ไว้แล้วก็เก็บข้อมูล นี้ไว้ จากนั้นก็ทำเหมือนกับที่ Firmware ฮาร์ดดิสก์ทำ คือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พ.ท.นี้อีก หรือหลอกเราว่าไม่มี พ.ท.เสีย เกิดขึ้นเลย การ Format ด้วย DOS ก็แก้ไขไม่ได้เช่นกันครับ เพื่อน ๆ บางคนคิดว่าหากมี Bad Sector แล้วมันจะขยายลุกลามออกไป ผมขอตอบว่าไม่จริงครับ เราไม่ควรลืม ว่า บนแผ่นดิสก์นั้นคือสารแม่เหล็กที่ฉาบอยู่ และมันหลุดได้ยาก ต่อให้หลุดแล้วก็ลามไม่ได้ด้วยนะครับ ไม่เหมือน กับโรคผิวหนังครับ ผมขอจบลงเท่านี้ละครับ การซ่อมฮารด์ดิสก์ โดยแก้ไขไม่ให้มี Bad Cluster หรือ Bad Sector
ผมขอชี้แจงเรื่อง การซ่อมฮารด์ดิสก์ โดยแก้ไขไม่ให้มี Bad Cluster หรือ Bad Sector ให้เพื่อน ๆ เข้าใจสักหน่อยนะครับว่า การที่ฮารด์ดิสก์มี Bad Cluster หรือ Bad Sector นั้น เราไม่สามารถที่จะแก้ไขไม่ให้มันหายไปได้ เพราะการทำงานของ Firmeware ในฮารด์ดิสก์จะกำหนดไว้ว่า ถ้าหากหัวอ่าน/เขียนของมัน พบปัญหา เช่นอ่านแล้วข้อมูลไม่ถูกต้อง และวงจรตรวจสอบที่อยู่บน PCB มันใช้ ECC หรือ CRC หรือ Read Retry (หรือวิธีอื่น ๆ ที่แล้วแต่เทคโนโลยีของ บ. ผู้ผลิต) เข้ามาช่วยแล้วแต่แก้ไขไม่ได้ ฮารด์ดิสก์จะตีว่า พ.ท.นั้นเป็น Defect หรือกำหนดให้เป็นจุดเสียที่มันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก และข้อมูลที่เอาไว้บอกตัวฮารด์ดิสก์เองว่าจุดใดบ้างที่เสียนั้น จะเก็บไว้ที่ System Area ซึ่งเป็น Cylinder ที่เราจะเข้าไปแก้ไขข้อมูลในจุดนี้ไม่ได้เลย เพราะเป็น Cylinder ที่ฮารด์ดิสก์กันเอาไว้ให้ตัวของมันเองโดยเฉพาะ และทุกครั้งที่ฮาร์ดดิสก์บูตมันจะต้องเข้าไปอ่านข้อมูลที่ System Area แล้เอามาเก็บที่ Ram เพื่อที่จะบอกกับตัวมันเองว่ามี พ.ท. ตรงไหนบ้างที่ห้ามเข้าไปอ่าน/เขียน การที่จะเข้าไปแก้ข้อมูลในจุดนี้ต้องใช้เครื่องที่โรงงานผู้ผลิตนั้นออกแบบมาโดยเฉพาะ และต่อให้เราเข้าไปแก้ได้ก็ไม่มีประโยชน์เพราะ พ.ท.ตรงนั้นอาจมีสิ่งสกปรกติดอยู่ หรือสนามแม่อาจถูกกระทบกะเทือนจนหลุดออก ซึ่งเป็นชิ้นเล็กที่ตาเปล่ามองไม่เห็น และในความเป็นจริงยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกมากที่ทำให้เกิด Bad Cluster หรือ Bad Sector ก็ตามแต่จะเรียก สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ ห้ามกระแทกฮารด์ดิสก์แรง ๆ ไม่ว่ามันจะทำงานอยู่หรือไม่ก็ตาม และเมื่อคุณจับมันก็ไม่ควรจับที่ PCB เพราะไฟฟ้าสถิตย์ในตัวเราอาจวิ่งไปยังวงจรที่ PCB แล้วทำให้ IC เสียหายได้ และจุดนี้เองที่ร้านที่ทำให้เกิดร้านรับซ่อมฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเขาเพียงแค่อาศัยการเปลี่ยนแผ่น PCB ที่ประกบอยู่โดยการหารุ่นและยี่ห้อที่ตรงกันมาเปลี่ยน ง่าย ๆ เท่านี้เอง และการที่เราคิดว่าแผ่นดิสก์ภายในมีรอยก็น่าจะเปลี่ยนได้ ผมขอบอกเพื่อน ๆ ว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเปิด Cover หรือผาครอบมันออกมาแล้วเอาแผ่นใหม่ใส่เข้าไป เพราะบนแผ่นดิสก์ทุกแผ่นและทั้งสองด้านของแผ่นจะมีสัญญาณ Servo เขียนอยู่ ซึ่งสัญญาณนี้จะถูกเขียนในลักษณะตัดขวางเหมือนกับการแบ่งเค้กกลม ๆ ออกเป็นส่วน ๆ โดยที่สัญญาณนี้จะต้องตรงกันทุกแผ่นจะวางเยื้องกันไม่ได้เลย เพราะเครื่องเขียนสัญญาณกำหนดให้ต้องตรงกัน ซึ่งผมขอเปรียบเทียบกับล้อรถยนต์ที่ต้องมีจุ๊บเติมลม ที่เราต้องเอาจุ๊บของล้อทุกล้อมาวางให้ตรงกันเพื่อที่จะบอกให้ PCB ได้รับทราบว่าจุดเริ่มต้นของดิสก์หรือ Sector 0 หมุนไปอยู่ที่ใดบนแผ่นดิสก์ และสัญญาณนี้ไม่สามารถมองให้ได้ด้วยตาเปล่าต่อให้เอากล้องจุลทรรศมาส่องก็ไม่เห็น การที่เราจะจับฮารด์ดิสก์ให้มีความปลอดภัยนั้นตัวเราต้องลงกราวนด์ นั่นคือเท้าเราต้องแตะพื้นให้ไฟฟ้าสถิตย์จากตัวเราไหลลงพื้นดิน เพื่อน ๆ อาจนึกไม่ถึงว่ามันจะมีผลมากถึงขนาดว่าทำให้ฮารด์ดิสก์เสีย แต่เราอย่าลืมว่ากิจกรรมในชีวิตประจำวันของเราไปจับโลหะอะไรมาบ้างแล้วมันถ่ายเทประจุให้เราเท่าไหร่,จะมีผลต่อสิ่งอื่น ๆ ไหมเราไม่รู้เหมือนกับรถบรรทุกขนถ่ายน้ำมัน ที่เวลาวิ่งต้องเอาโซ่ลากไปตามถนนเพื่อระบายประจุ หรือทำให้เกิดความต่างศักย์น้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์เพราะมันอันตรายมากที่เวลาเอาหัวจ่ายน้ำมันรถไปต่อกับวาลว์รับน้ำมัน ซึ่งอาจเกิดประจุไฟ้ฟ้าวิ่งจากศักย์สูงไปศักย์ต่ำแล้วเป็นประกายไฟ เพราะเวลารถวิ่งไปชนอากาศที่มีประจุลอยอยู่มันก็จะสะสมไปเรื่อย ๆ ผมอยากบอกกับเพื่อน ๆ ว่าผมก็เสียดายมาก ๆ หากฮารด์ดิสก์ของผมเกิด Bad Sector ขึ้นมาแต่ก็ต้องทำใจยอมรับ เนื่องจากมันแก้ไขไม่ได้จริง ๆ ต่อให้เอาเครื่องมือในโรงงานมากองต่อหน้าผมแล้วให้ผมอยู่ใน Clean Room ผมก็ทำไม่ได้ (ยกเว้นนั่งรื้อชิ้นส่วนออกหมดแล้วเอาแผ่นดิสก์ใหม่มาใส่เพราะเครื่องเขียน Servo อยู่ในนั้น) แต่การที่เราจะเลี่ยงไม่ใช้ พ.ท.ที่เสียอยู่ในตอนอื่น ๆ ของข้อมูลนั้นก็ทำได้เช่นแบ่งพาร์ทิชั่นออกเป็นส่วน ๆ โดยให้พาร์ทิชันที่เราไม่ต้องการครอบตรงจุดเสียไว้ หรือถ้าหากเราต้องการกู้ข้อมูลที่มีความสำคัญมาก ๆ ก็ต้องใช้ Software ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เช่น Spinrite หากถามว่าทำไม บ.ผู้ผลิตไม่ออกแบบให้ฮาร์ดดิสก์แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อน หรือให้มันสามารถกู้ข้อมูลได้เล่า คำตอบก็เป็นเพราะมันทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น, และทำให้ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตหรือกว่าที่จะออกจำหน่ายได้ช้าออกไปอีก ,ทำให้ความเร็วในการทำงานลดลงด้วย และมีอีกหลาย ๆ อย่างที่ผมพิมพ์ไม่ไหวแล้ว ผมหวังว่าการที่ผมบอก Email Address ไว้นั้นจะทำให้เนื้อหานี้มีความน่าเชื่อถืออยู่บ้างนะครับ
ป.ล.หากอ่านแล้วไม่เข้าใจ ผมก็ขอโทษทีเพราะตอนนี้ง่วงมาก ๆ แล้วครับ อ้อ! อีกอย่างครับเกือบลืมบอกไปว่าผมเคยทำงานอยู่ Failure Analysis มีหน้าที่วิเคราะห์หาจุดเสียของฮาร์ดดิสก์... (เอาแค่หน้าที่เดียวก็พอเนาะ) ด้วยความหวังดีกับทุก ๆ คนครับ (ประโยคนี้เชยแต่ตรงกับความรู้สึกผมดี)
คำถาม
ฮาร์ดดิสก์ที่พึ่งซื้อมาทำไมถึงมีแบดได้ครับใครที่รู้เกี่ยวกับฮาร์ดดิสช่วยแนะนำหน่อยครับ
คำตอบ
เท่าที่ทราบนะคะ มันมี Bad Sector มาตั้งแต่อยู่ขั้นตอนผลิตที่โรงงานแล้วค่ะ ก่อนที่จะนำออกจำหน่าย เค้าจะทำ Low Level Format และ mark ส่วนที่เป็น Bad sector ทิ้งไป ดังนั้นฮาร์ดดิสค์แต่ละตัว ถึงแม้จะรุ่นเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน จำนวน Cylinder, Head ฯลฯ เท่ากัน แต่ความจุที่แท้จริงอาจไม่เท่ากันก็ได้ค่ะ เรื่องนี้ จริงๆแล้วก็ทำนองเดียวกับ CPU รุ่นเดียวกันแต่แยกขายที่ความเร็วนาฬิกา ต่างๆกันเป็นช่วงๆ เช่น 200 MHz, 233MHz, 266 MHz, 300MHz ฯลฯ ซึ่งจริงๆแล้ว CPU พวกนี้ก็ทำมาจากแผ่นเวเฟอร์เดียวกัน โรงงานเดียวกัน เพียงแต่ พอผลิตออกมาแล้ว ไม่ผ่านการทดสอบคุณภาพที่ความถี่สูง เค้าก็ลดการทดสอบลงมา จนถึงความถี่ที่ผ่านการ ทดสอบ เค้าก็แปะตราว่ารับรองว่า CPU ตัวนี้ (หรือ lot นี้) ใช้ได้ที่ความถี่ที่ทดสอบ แต่ก็เป็นไปได้ว่า เรายังสามารถ Over Clock ขึ้นไปได้อีก (คือใช้ที่ความเร็วมากกว่า ที่เค้าระบุ) เผื่อแจ๊คพอทน่ะค่ะ เพราะการควบคุมคุณภาพ เค้าเฉลี่ยที่ทั้ง lot ซึ่งไม่ได้ หมายความว่าทุกตัว สรุปว่า คุณโชคดีค่ะ ที่แจ๊คพอทไปเจอที่เค้าตรวจ Bad sector ไปแล้ว แต่กว่าจะ ผ่านมาถึงมือคุณ มันเกิด Bad sector เพิ่มน่ะค่ะ จาก
เคยได้ยินมาเหมือนคุณ แ ต ง ก ว า ฮาร์ดดิสค์จะถูกออกแบบให้มีความจุ มากกว่าขนาดที่ระบุนิดหน่อย สำหรับเผื่อให้กับ bad secter ที่อาจจะมี ถ้าฮาร์ดดิสค์นั้นยังมีเนื้อที่ส่วนที่ดีมากกว่าขนาดที่ระบุก็ถือว่าผ่านมาตรฐาน สามารถขายได้ไม่ผิดกฏหมาย และไม่ถือว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ซื้อด้วย
ฮาร์ดดิสก์จะมี bad sector อยู่เกือบทุกตัวอยู่แล้ว จะมีไม่กี่ตัวที่ไม่มี bad sector เลย เขาจะกันไว้เอาไปทำฮาร์ดดิสก์ความเร็วสูง ส่วนพวกธรรมดาเมื่อผ่านขึ้นตอนการผลิตในโรงงาน เขาจะทำเครื่องหมายไว้ ทำให้เครื่องมองไม่เห็น และเครื่องไม่ควรจะเห็น คราวนี้ถ้าเครื่องมองเห็น แสดงว่ามีการผิดปกติ ซึ่งไม่เป็นไร เพราะถ้าใช้ Dos หรือ วินโดวส์ ฟอร์แม็ตมันจะกันไว้อีกที แล้วก็ใช้ได้อย่างปกติ ไม่มีปัญหาเพราะเครื่องจะไม่มองและไม่ใช้ ปัญหาจะมีก็ตรงที่ใช้ๆ ไป กลับมี bad sector มากขึ้น หรือใช้ๆ ไปจู่ๆ เกิดฟ้องว่ามี bad sector แสดงว่าเริ่มมี bad sector เกินขึ้นตรงในส่วนที่ดี งานนี้ต้องส่งโรงงานซ่อมเท่านั้น ทำไฟล์สำรองจากฮาร์ดดิสก์แล้วส่งซ่อมเท่านั้นครับ
คุณกาละมะชนพูดถูกครับ HDD ปัจจุบันจะมี spare sector ที่ไม่ใช้สำรองไว้อยู่ ถ้าเกิดมี sector เสีย controller บน HDD จะ mark ไว้ และเอา spare sector ที่เหลือมาใช้แทน กลไกนี้จะทำงานโดยอัตโนมัติในตัว HDD เราไม่อาจสังเกตหรือรู้ได้เลย และนี่เป็น เหตุผลสำคัญที่ผู้ผลิตห้ามไม่ให้ผู้ใช้พยายาม low-level format HDD แถม HDD ปัจจุบันมักจะเสียแล้วเสียเลย ซ่อมไม่ได้อีกแล้ว เพราะ controller ไม่ยอม ให้เปลี่ยนแปลงข้อมูลตำแหน่ง sector เสียตรงนี้ได้ ว่าแต่คุณเจ้าของกระทู้ขน HDD ยังไงครับ การขนย้าย HDD ผิดวิธีอาจทำให้มัน ถึงกับพังได้ ผมเคยเห็นบางคนขน HDD ยังกะขนหนังสือธรรมดา ที่แนะนำก็คือ ใส่กล่อง seashell หรือถุงกันไฟฟ้าสถิตย์และหุ้มฟองน้ำกันกระแทกครับผม และ อย่าเขย่าหรือไปเจอกับแรงสะเทือน คิดซะว่ามันเปราะกว่าแก้วไวน์

เจาะเทคนิค เพิ่มความเร็วระบบ ด้วยตัวคุณเอง

ถึงแม้ว่าวันนี้ การใช้วินโดวส์ 95 จะเลิกบูม ผู้คนกำลังจะหันไปอัพเกรดวินโดวส์ 98 กันแทนกันแล้ว แม้ว่ายังมีอาการรอให้ผู้พัฒนา ปรับปรุงให้ใช้ภาษาไทยได้สมบูรณ์แบบ เหมือนวินโดวส์ 95 ผมจึงคิดว่าหลายๆ คนคงยังไม่สำรวจ และปรับแต่งระบบ 98 ให้ทำงานได้เต็มที่มากนัก พูดง่ายๆ คือคงใช้โปรแกรมเพียงอย่างเดียว ยังไม่ค่อยกล้าเจาะระบบเท่าไร เพราะกลัวมีปัญหา แล้วต้องเสียค่าจ่ายโดยเปล่าประโยชน์
ครานี้ ผมกำลังจะมาขจัดความกลัว ในการปรับแต่งระบบของคุณ ให้ใช้โปรแกรมทำงานได้ดีกว่า ไม่ต้องกลัวนะครับ ลองทำตามวิธีที่ผมแนะนำ เผื่อบางทีคุณจะได้เห็นคุณค่าของมันมากขึ้น มาเริ่มปรับแต่งโปรแกรมของคุณ ให้เร่งความเร็วในการทำงานได้เต็มที่ และป้องกันหน่วยความจำที่ไม่พอ กับหลากหลายเทคนิค ที่รวบรวมมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ ก่อนที่จะปรับปรุงระบบ ขอให้คุณทำความรู้จักออปชันตัวแปร ที่ใช้ปรับแต่งระบบเสียก่อน ดังนี้ครับ
รายละเอียดของแต่ละออปชัน
BootDelay เป็นค่าสำหรับตั้งเวลาในการแสดงคำว่า Starting Windows 95 ในช่วงบูต ก่อนที่จะทำการบูตขั้นตอนอื่นต่อไป ค่าปกติคือ 2 วินาที
BootMenudelay เป็นค่ากำหนดเวลาที่จะให้โปรแกรมทำงาต่อไป ถ้าในระหว่างนั้นไม่มีการเลือกจากเมนู ค่าปกติตั้งไว้ที่ 30 วินาที
BootMenu ค่าปกติจะเป็น 0 แต่ถ้าเป็น 1 จะแสดง Startup Menu ให้ผู้ใช้เลือก แต่ถ้าเป็นผู้ใช้ต้องกด F8 เพื่อแสดงเมนู
BootKeys เป็นการกำหนดให้ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม F4, F5, F6 และ F8 ในช่วงบูตได้เมื่อกำหนดค่าเป็น 1 และไม่ได้เมื่อกำหนดค่าเป็น 0 และถ้ากำหนดให้เป็น 0 ค่า Boot Keys จะไม่สามารถควบคุม Boot Delay
BootGUI มีไว้เพื่อกำหนดให้โหลดส่วนติดต่อผู้ใช้ที่เป็นกราฟิก ค่าปกติจะมีค่าเป็น 1 ถ้าตั้งค่าเป็น 0 จะเป็นการโหลด Dos prompt และถ้าต้องการเข้าวินโดวส์อีกครั้งให้พิมพ์ Win เหมือนกับวินโดวส์ 3.11
DoubleBuffer ค่าปกติเป็น 0 คือจะไม่ทำการ DoubleBuffer ในทุกกรณี ถ้าตั้งค่าเป็น 1 จะทำการ DoubleBuffer เฉพาะบาง Controller ที่ต้องการเท่านั้น แต่ถ้าตั้งเป็น 2 จะ DoubleBuffer ในทุกกรณี
DrvSpace & DblSpace ค่าปกติเป็น 1 เป็นการกำหนดให้วินโดวส์ โหลดแฟ้ม DrvSpace.bin ซึ่งเป็นโปรแกรมลดขนาดข้อมูลโดยอัตโนมัติ ถ้าตั้งค่าเป็น 0 เป็นการยกเลิกการโหลดอัตโนมัติ
Logo ค่าปกติเป็น 1 แต่ถ้าเป็น 0 จะไม่ปรากฏภาพของโลโก้วินโดวส์ ในช่วง Startup
LoadTop ค่าปกติเป็น 1 แต่ถ้าเชตเป็น 0 วินโดวส์ จะไม่โหลด Command.com ไว้ที่หน่วยความจำส่วนบนของ 640 กิโลไบต์
Autoscan ค่าปกติเป็น 0 คือจะข้อความขึ้นเตือนให้ตอบคำถามเกี่ยวกับการแก้ Lost Cluster เมื่อบูตโดยไม่ผ่านชัตดาวน์ แต่ถ้ากำหนดค่าเป็น 2 จะซ่อม Lost Cluster ให้อัตโนมัติ แต่ถ้าใครติดตั้ง PowerToys จะมีออปชันนี้ให้กำหนด
เริ่มต้นปรับแต่งไฟล์บูตระบบก่อน
เริ่มต้นให้คุณใช้คำสั่งค้นหาไฟล์ Msdos.sys และคลี่แอททิบริวต์จาก Read-only หรือ Hidden ให้สามารถเขียนทับได้ หรือใช้คำสั่งที่ C: พิมพ์คำสั่งดังในวงเล็บ (attrib -r -s -h msdos.sys) เพราะไฟล์ตัวนี้จะซ่อนไว้ในระบบ จากนั้นเปิดไฟล์ขึ้นมา ให้คุณเพิ่มออปชันดังในรูปตัวอย่างที่ให้มา

ให้คุณลบ Comment ซึ่งกำหนดโดยการนำ ";" มาวางไว้หน้าบรรทัดที่ต้องการให้เป็น Comment รายละเอียดที่เห็นในรูปตัวอย่างที่ผ่านมา บรรทัดที่มีตัว "x" เยอะๆ ไม่มีความหมายใดๆ พิเศษ เป็นเพียงข้อมูลขยะที่ทำให้ไฟล์มีขนาดเกิน 1 กิโลไบต์เท่านั้น แล้วเซฟไฟล์
จำลองหน่วยความจำด้วย Disk Cache
ตามปกติแล้ว วินโดวส์จะกันพื้นที่ว่างส่วนหนึ่งของแรม มาทำเป็นแคชสำหรับเก็บไฟล์ข้อมูลที่ต้องการเรียกใช้อยู่บ่อยๆ เพื่อให้การเรียกใช้ข้อมูลเหล่านี้สามารถทำได้เร็ว เพราะการอ่านข้อมูลจากแรม ย่อมจะเร็วกว่าการอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ ซึ่งวินโดวส์จะกำหนดใหัอัตโนมัติ แต่ถ้าบางเครื่อง กำหนดให้วินโดวส์กำหนดให้อัตโนมัติ อาจจะทำให้การทำงานของวินโดวส์ช้าลง ถ้าคุณใช้เครื่องแล้วเป็นอย่างที่ว่านี้ ผมอยากให้คุณเข้าไปกำหนดค่าของแคชสูงสุดและต่ำสุด หลักการกำหนดแคช คือกำหนด 1 ใน 8 ของแรมที่มีอยู่ในเครื่อง เช่น ถ้าคุณมีแรมอยู่ 64 เมกะไบต์ ขนาดแคชที่จะกำหนดก็คือ 8 เมกะไบต์ ให้คุณค้นหาไฟล์หรือใช้เท็กซ์เอดิเตอร์ตัวใดก็ได้ เปิดไฟล์ System.ini หรือใช้คำสั่งที่ C: พิมพ์คำสั่งดังในวงเล็บ แต่คุณต้องเข้าไปที่ไดเรกทอรีของวินโดวส์ ก่อนพิมพ์ตามคำสั่ง (edit system.ini) ใหคุณเพิ่มออปชันค่าของแคชสูงสุดและต่ำสุด
กันพื้นที่ให้ Virtual Memory
งานนี้เพื่อเป็นการจำลองเนื้อที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ ให้เป็นหน่วยความจำชั่วคราว เพื่อจัดเก็บข้อมูลขณะทำงาน สำหรับการเชต Virtual Memory บนวินโดวส์ ให้คุณทำตามขั้นตอนดังนี้ครับ
คลิ้กเมาส์ขวามือที่ My Computer แล้วเลือก Properties
เลือกแท็บ Performent แล้วคลิ้ก Vitual Memory
เลือกไดรฟ์ที่คุณต้องการทำ swapfile ควรแยกให้อยู่ไดรฟ์ต่างหาก จะช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น หรือแบ่งพาร์ทิชันไว้ก่อนล่วงหน้าสำหรับจัดเก็บ swapfile ต่างหาก
กำหนดค่า Maximum ของเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์ทั้งหมด เช่น กำหนดที่ไดรฟ์ E: เป็นต้น
จากนั้นคลิ้กปุ่ม OK แล้วรีสตาร์ทวินโดวส์
ปรับแต่งประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์
การปรับแต่งบทบาทของเครื่องคอมพ์แบบนี้ เพื่อปรับประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องคอมพ์ของคุณ ในการเข้าถึงระบบไฟล์บนฮาร์ดดิสก์ แต่คุณควรตรวจดูก่อน ถ้าเครื่องคอมพ์ของคุณมีแรมถึง 64 เมกะไบต์ นั่นลัถึงจะเหมาะสมที่จะปรับแต่งแบบนี้ แต่ถ้ามีแค่ 32 เมกะไบต์ ก็สามารถใช้ได้ แต่ต้องมีวิธีการเพิ่มเติม โดยให้คุณทำตามขั้นตอนดังนี้
คลิ้กเมาส์ขวามือที่ My Computer แล้วเลือก Properties เลือกแท็บ Performent แล้วคลิ้ก File System เลือกแท็บ Hard Disk ให้เป็นแบบ Network server ตรงช่อง Typical role of this machine คลิ้กปุ่ม OK แล้วรีสตาร์ทวินโดวส์
เช็คฮาร์ดดิสก์สนับสนุน DMA (Direct Memory Access)
ถ้าฮาร์ดดิสก์ของคุณมีออปชันสนับสนุน DMA แต่คุณไม่ใช้ออปชันนี้ และไม่ได้บอกให้เครื่องรับรู้ คุณอาจต้องเสียดายแย่ ออปชันตัวนี้ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ให้คุณทำตามขั้นตอนดังนี้นะครับ เพื่อแจ้งบอกให้เครื่องคอมพ์ของคุณรับทราบ แต่คุณต้องแน่ใจนะครับว่า ฮาร์ดดิสก์ของคุณสนับสนุน DMA ไม่เช่นนั้นเครื่องจะเกิดแฮงก์เป็นแน้แท้ คลิ้กเมาส์ขวามือที่ My Computer แล้วเลือก Properties เลือกแท็บ Device Manager แล้วคลิ้กหัวข้อ Disk drives ให้เป็นเครื่องหมายลบ แล้วเลือก General IDE DISK TYPE47 แล้วดับเบิลคลิ้ก จะปรากฏหน้าต่าง General IDE DISK TYPE47 Properties แล้วคุณเลือกแท็บ Settings จากนั้นให้คุณแล้วคลิ้ก ทำเครื่องถูกหน้าหัวข้อ DMA คลิ้กปุ่ม OK แล้วรีสตาร์ทวินโดวส์ เพิ่มความเร็วในการบูตเครื่อง ถ้าเครื่องของคุณบูตเข้าวินโดวส์ได้ช้ากว่าปกติ ให้คุณลองเข้าไปดูในไฟล์ Config.sys และ Autoexec.bat ว่ามีการเรียกใช้ไดรเวอร์อะไรที่ไม่จำเป็นหรือไม่ ถ้าไดรเวอร์ตัวไหนที่มีอยู่แล้วในวินโดวส์ให้คุณลบไดรเวอร์ออกจากไฟล์ Config.sys หรือ Autoexec.bat ได้เลย ทำให้วินโดวส์ไม่ต้องไปเรียกใช้ไดรเวอร์ต่างให้เสียเวลา
ยกเลิกฟอนต์ตัวอักษรที่ใช้ในวินโดวส์ ฟอนต์ใดที่ไม่จำเป็นต้องใช้หรือไม่ได้ใช้บ่อยๆ ก็ควรลบออกไปเสียเพื่อให้วินโดวส์ สามารถทำงานได้เร็วขึ้น หรือไม่ก็ในขณะที่คุณติดตั้งฟอนต์ในวินโดวส์ ให้คุณนำเครื่องหมายถูกออกจาก Copy fonts to Fonst folder อย่าโหลดโปรแกรมฝังตัวใน System Tray ให้มาก เพราะตัวบางตัวกินเนื้อที่หน่วยความจำเยอะ ทำให้การเรียกใช้โปรแกรมอื่นช้า คลานเหมือนเต่ายังไงยังงั้น ทั้งๆ ที่แรมมีเหลือเฟือ แต่ถ้าไม่ได้ใช้บ่อย ก็ควรยกเลิกหรือกำจัดออกไปซะบ้าง จะช่วยให้การใช้โปรแกรมเร็วขึ้น และไม่ควรโหลดโปรแกรมใน Start Menu เหมือนกัน เทคนิคที่ว่ามา ยังไงคุณก็ลองนำไปปรับแต่งกันดูนะครับ เผื่อว่าจะช่วยให้เครื่องคอมพ์คุณเร็วขึ้น สามารถรันแอพพลิเคชันได้หลายโปรแกรม หรือสั่งพิมพ์งานไม่ต้องรอนาน ทีนี้คุณก็จะได้ใช้ประสิทธิภาพที่มีอยู่จริงให้คุ้มค่าเสียที ก่อนที่จะอำลา 95 แล้วหันหน้าสู่วินโดวส์ 98 ต่อไป